The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 231 ไม่เผยแพร่พระธรรมกันง่ายๆ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 231 ไม่เผยแพร่พระธรรมกันง่ายๆ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง บนอุโบสถเขียนอักษรใหญ่ไว้สามตัวว่า ‘พระอุโบสถจตุมหาราชา!’
ในใจฟางเจิ้งนึกปลงอนิจจัง สมกับเป็นวัดใหญ่ ดูยิ่งใหญ่กว่าวัดเอกดรรชนีเล็กๆ ที่มีเพียงพระอุโบสถหมื่นพุทธมาก หลังเดินผ่านอุโบสถจตุมหาราชาแล้วหมุนตัวกลับมา จะเห็นแม่ทัพเกราะทองคำยืนเอาสองมือยันไม้เท้าสยบมารตนหนึ่ง ฟางเจิ้งไม่แปลกตากับเทวรูปองค์นี้ วัดเอกดรรชนีก็มีอยู่องค์หนึ่ง นั่นคือพระเวทโพธิสัตว์ ดูจากลักษณะท่าทางของพระเวทโพธิสัตว์แล้ว วัดผาแดงทำตามกฎของวัดระดับกลาง นักบวชธุดงค์มาที่นี่จะได้ฉันข้าวฟรีหนึ่งวัน หากนานกว่านี้จะไม่ดูแล[1]
ผ่านอุโบสถจตุมหาราชาไป ตรงหน้าจะเป็นพระวิหารกลางของวัดผาแดง ตรงประตูพระวิหารมีกระถางใบใหญ่หล่อทองสัมฤทธิ์ ในกระถางมีธูปปักอยู่เต็ม ควันธูปลอยสูง ตัวกระถางแกะสลักสี่อักษรใหญ่ว่า ‘ชาติสงบชาวประชาเป็นสุข’
ฟางเจิ้งไม่ได้เข้าไปในพระวิหาร หงเสียงพาเขาอ้อมจากทางด้านข้างเข้าไปในพื้นที่อาศัยของนักบวช ตรงนี้มีกุฏิเดี่ยวๆ หลังหนึ่งเป็นของเจ้าอาวาส
หลวงจีนหงเหยียนรอฟางเจิ้งอยู่ในกุฏินี้ พอเข้าประตูไป หลวงจีนหงเหยียนยืนขึ้น ประนมสองมือกล่าว “รบกวนเจ้าอาวาสฟางเจิ้งแล้ว”
ฟางเจิ้งรีบแสดงความเคารพตอบ “เจ้าอาวาสหงเหยียนไม่ต้องเกรงใจ ไม่ได้ไกลมาก ไม่ถือว่าลำบากอะไร”
สองคนพูดเป็นพิธีเล็กน้อย ก่อนพากันนั่งลง หลวงจีนหงเหยียนกล่าวขึ้น “เจ้าอาวาสฟางเจิ้งมาวัดผาแดงได้นับเป็นโชคดีของวัดผาแดงเราแล้ว”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าบอก “ท่านหงเหยียน พูดแบบนี้อาตมาเขินแย่ อาตมาอ่านคัมภีร์ไปไม่ถึงร้อยม้วนด้วยซ้ำ มีประสบการณ์ไม่ถึงยี่สิบปี แล้วจะไปคู่ควรกับคำพูดนี้ได้ยังไง? ท่านต่างหากที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล อาตมามาวัดผาแดงเพื่อเรียนรู้วิธีจัดงานพิธีต่างๆ และการเป็นเจ้าภาพ นี่ต่างหากที่โชคดีอย่างยิ่ง”
“เหอะๆ หลวงพี่ฟางเจิ้งไม่ต้องเกรงใจ ต้นกกข้ามฟาก ลิ้นบัวเบ่งบาน และคัมภีร์ที่สวดในวันนั้นให้คุณความรู้กับอาตมาไม่น้อย ในด้านการเทศน์การพูด อาตมายังห่างชั้นกับหลวงพี่ฟางเจิ้งมาก” หลวงจีนหงเหยียนพูดจาตรงไปตรงมา
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ในใจ ลิ้นบัวเบ่งบานของเขากับผีสิ นั่นมันความดีความชอบของระบบต่างหาก แต่ฟางเจิ้งกลับเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา…
เหมือนอย่างที่ว่ากันไว้ เรื่องดีไม่แม่นแต่เรื่องไม่ดีล่ะแม่นนัก
หลวงจีนหงเหยียนกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าวันนี้อาตมาจะโชคดีได้ฟังหลวงพี่ฟางเจิ้งเทศน์อีกสักครั้งไหม?ะ”
ในใจฟางเจิ้งเหมือนมีตัวเงินตัวทองแสนตัววิ่งผ่าน เขาก็อยากเทศน์เหมือนกัน แต่ก็ต้องเทศน์ให้เป็นก่อนด้วยถึงจะได้!
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “หลวงจีนหงเหยียน อาตมาจะไม่เทศน์ง่ายๆ เมื่อมีวาสนาย่อมเทศน์ได้ ไร้วาสนาเทศน์ไม่ได้ พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าจะไม่เทศนากันง่ายๆ เมื่อเทศนากันง่ายไปจะไร้คุณค่า” พูดจบ ฟางเจิ้งเตรียมเห็นสีหน้าผิดหวังของหลวงจีนหงเหยียนทันที
แต่หลวงจีนหงเหยียนกลับยังมีสีหน้าเรียบนิ่ง มีความผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับพยักหน้ากล่าวด้วยความเข้าใจมากกว่า “อาตมาละโมบเอง หลวงพี่ฟางเจิ้ง ในเมื่อท่านอยากศึกษาว่าจัดพิธียังไง ถ้าอย่างนั้นก็ให้หงเสียงพาไปเดินดูรอบๆ มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้ตลอดเวลา ถ้าหงเสียงไม่รู้อาตมาจะตอบให้เอง”
ฟางเจิ้งรีบขอบคุณ ที่เขามาครั้งนี้ก็เพื่อการนี้นี่แหละ
เอ่ยลาหลวงจีนหงเหยียนแล้วก็ออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาส ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก ดีที่หลวงจีนหงเหยียนรับฟังเหตุผล ถ้าเจอกับคนที่กัดไม่ปล่อย ฟางเจิ้งไม่รู้จริงๆ ว่าจะรับมือยังไง
หงเสียงรออยู่ข้างนอกตลอด หลวงจีนหงเหยียนน่าจะกำชับไว้แล้ว พอฟางเจิ้งออกมาหงเสียงจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านอยากดูอะไรหรือครับ? อาตมาจะพาไป”
“อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน เล่าให้อาตมาฟังแล้วกันว่าพวกท่านจัดพิธีกันยังไงบ้าง” ฟางเจิ้งตอบ
หงเสียงหัวเราะแห้งๆ “ความจริงแล้วการจัดพิธีไม่ได้มีอะไรมากเลยครับ หลักๆ จะเน้นไปที่หัวข้อหลักตามพิธีทุกครั้ง บางวัดจัดพิธีประสูติของพระจุนทีโพธิสัตว์จะใช้พิธีอุปสมบทเป็นหลัก ถ้าอย่างนั้นแล้วหลักๆ พิธีก็จะเป็นการอุปสมบทให้สานุศิษย์ แต่พิธีของพวกเราครั้งนี้เป็นพิธีสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล พิธีนี้ต่างจากพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ พวกเราไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่เป็นญาติโยมต่างหาก ญาติโยมจะมาขอพรกันในวันนี้ คนจิตใจดี มีความจริงใจ ก็มักจะได้ผลตอบรับที่ดี
อีกอย่างก็คือการสวดมนต์ช่วงเวลามงคล นี่คือขนบธรรมเนียมและเป็นพิธีล้างบาปอย่างหนึ่ง คำสวดชะล้างทุกคนและก็อวยพรให้ทุกคนได้
นอกจากนี้พวกเรายังมีอาหารเจให้ ญาติโยมกินได้ตามสบาย แต่จะเอาไปไม่ได้และห้ามสิ้นเปลือง แน่นอนว่าถ้ากินแต่ไม่ใส่เงินบริจาคจุดธูปก็เท่ากับกินชีวิต แต่ถ้าใส่เงินบริจาค แม้จะแค่เหมาเดียวก็ถือเป็นการเลี้ยงดูทุกชีวิต เป็นบุญกุศล
วัดผาแดงพวกเราต่างกับวัดอื่นๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก เพราะในมุมมองพวกเรา พิธีคือการส่งเสริมความเมตตาและเป็นวันรวมตัวกันของพุทธมามกะ ทุกคนมาร่วมงานด้วยกันอย่างคึกคัก จุดธูปไหว้พระขอพรให้มีความสุข ดังนั้นพิธีของเราจึงลดความเข้มงวดลงเล็กน้อย และเพิ่มความครึกครื้นเข้าไปแทน”
ฟางเจิ้งเดินตามหงเสียงไปพลางฟังไปพลาง เขาเข้าใจงานพิธีของวัดผาแดงเล็กน้อยแล้ว เป็นอย่างที่หงเสียงว่าไว้ จริงๆ แล้วศาสนพิธีก็คือวันสำคัญทางพุทธศาสนา วันสำคัญคืออะไร? แน่นอนว่าเป็นการเฉลิมฉลอง พุทธมามกะที่มีใจบางคนจะมาจุดธูปไหว้พระที่วัด คนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ย่อมมีกิจกรรมบ้าง แต่การร้องเพลงเต้นรำย่อมไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมอันเคร่งขรึมของวัด เช่นนั้นการสวดมนต์และการรวมตัวกันอธิษฐานเพื่อสิริมงคลจึงเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุด แถมยังมีอาหารให้อีกด้วย…
เมื่อนึกถึงอาหาร ฟางเจิ้งอดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้ การจัดเลี้ยงอาหารที่วัดเอกดรรชนีนั้นยาก ยาก ยาก…หลักๆ คือเพราะเขาจนเกินไป
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ฟางเจิ้งได้รับมาโดยไม่คาดคิดคือช่วงยามเย็น เขาเห็นสองพี่น้องหงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ย สองพี่น้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ดูคึกคักไม่เบา กำลังเดินเตร่ไปมาในวัด ฟางเจิ้งนึกถึงคำพูดของระบบที่ว่าเขาก็ตอบแทนความดีให้กับอีกฝ่ายได้ แต่การตอบแทนที่ว่าจะตอบแทนยังไง? นี่คือคำถาม…คงไม่ใช่ให้สองคนนั้นตั้งครรภ์หรอกใช่ไหม…
ฟางเจิ้งมองสองคนนี้แวบหนึ่งแล้วก็หายวับไป ทว่าจีวรขาวของเขายังเด่นตามาก ดังนั้น…
“เชียนเจี๋ย ฉะ…ฉันเหมือนเห็นพี่ผีพรายเลย” หงเชียนสี่กล่าวขึ้นทันที
หงเชียนเจี๋ยตกใจสะดุ้ง “พี่อย่าล้อเล่นน่า ที่นี่วัดนะ ผีพรายที่ไหนจะดุขนาดกล้ามาที่วัด?”
“ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าผีพรายนั่นเป็นหลวงจีน ไม่แน่อาจจะมาจากที่นี่…” หงเชียนสี่กล่าว
หงเชียนเจี๋ยสั่นระริก “หยุดพูดเถอะ ผมขนลุกไปหมดแล้ว ถึงพี่ผีพรายจะเป็นผีดี แต่ก็อยู่คนละโลกกัน ขอไม่เจอกันดีกว่า เอ่อ พวกเราไปพระวิหารกันไหม ไปไหว้พระพุทธองค์ในนั้นกัน เขาไม่น่าจะตามมาหรอก”
หงเชียนสี่พยักหน้า สองคนจึงเดินไปที่พระวิหาร พระวิหารบูชาพระพุทธองค์ตรีกาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สองพี่น้องเข้าไปจุดธูปภาวนาเงียบๆ “พี่ผีพรายช่วยพวกเราไว้ ขอพระพุทธองค์ช่วยส่งให้พี่ผีพรายไปเกิดใหม่ด้วยเถอะ…”
ถ้าฟางเจิ้งอยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็ ไม่รู้เลยว่าควรจะรู้สึกยังไง
………………………………………
[1]ในสมัยโบราณ ผู้เดินทางที่ต้องการค้างคืนตามวัดจะสังเกตรูปปั้นของพระเวทโพธิสัตว์ในวัดว่าถือคทาอย่างไร ถ้าถือไว้ในมือหรือประนมมือ แสดงว่าอนุญาตให้เข้าพักได้ ถ้าถือจรดพื้นแสดงว่าไม่อนุญาตให้เข้าพัก