The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 264 นายต้องการอะไร
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 264 นายต้องการอะไร
ชาวบ้านรอบๆ ต่างส่ายหน้า สื่อว่าไม่เห็นคนส่งเด็กกลับมา หัวหน้าวิศวกรส่ายหน้าสื่อว่าไม่เห็นอะไร หมู่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ กลุ่มคนงานก็ไม่ว่าง ต่างทิ้งงานในมือออกไปตามหาคน ตามหากันให้วุ่นตั้งนาน จนตอนนี้ถือว่าเบาใจแล้ว
ขณะนั้นเองฟางเจิ้งเข้ามา ทุกคนมองฟางเจิ้ง หวังโอ้วกุ้ยถามทันที “เจ้าอาวาสฟางเจิ้งเห็นคนส่งเด็กเข้าไปในบ้านไหม?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่”
ตลก เขาส่งเข้าไปในบ้านเองกับมือ ลูกตาออกจากร่างไม่ได้ เขาจะเห็นตัวเองส่งเด็กเข้าไปในห้องได้อย่างไร?
เห็นฟางเจิ้งส่ายหน้า ทุกคนต่างกลัดกลุ้ม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“หรือว่าพระพุทธองค์ปกป้อง? บางทีอาจมีผู้ผดุงความยุติธรรมช่วย?” ซ่งเอ้อโก่วพูดไปเรื่อย แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่เขาพูดมั่วน่ะเกือบถูก
ทว่าทุกคนไม่ได้คิดว่าคำพูดเขาเป็นจริง เพราะถ้ามีผู้ผดุงความยุติธรรมช่วยจริงๆ จะต้องเป็นชาวบ้าน หลังเด็กเกิดเรื่องแล้วคนในหมู่บ้านต่างกลับมาช่วยกันหาคน คนนอกไม่มีทางหลุดรอดจากสายตาทุกคน เป็นฝีมือคนในหมู่บ้าน? ปัญหาคือทุกคนรู้ว่าใครทำอะไร ใครออกจากหมู่บ้าน ใครไม่ออก มองปราดเดียวก็รู้ชัด…
ลวี่เหลียงคิดลึกซึ้งกว่านั้น คนที่มีรถในหมู่บ้านมีไม่กี่ครอบครัว พอเกิดเรื่องต่างขับออกไปตามหารอบๆ แต่คนพวกนี้อยู่บนถนน กระทั่งยังไม่ถึงสถานที่เกิดอุบัติเหตุของสองคน คำนวณอย่างไรก็ไม่น่าใช่พวกเขา
เกิดคำถามแล้ว หรือว่าพระพุทธองค์ปกป้องจริงๆ?
นึกถึงพระพุทธองค์ ลวี่เหลียงมองฟางเจิ้งโดยจิตใต้สำนึก ฟางเจิ้งยิ้มให้ลวี่เหลียงเล็กน้อย ใบหน้าเรียบนิ่ง ถ่อมตนและเป็นมิตร
ลวี่เหลียงมองใบหน้าหล่อเหลาของฟางเจิ้ง ก่อนมองร่างกายบอบบางที่เห็นได้ชัดหน่อยๆ ใต้จีวรแล้วส่ายหน้า ถึงพวกชาวบ้านจะเคารพฟางเจิ้งมาก แต่ตอนที่เขามาหมู่บ้านก็เห็นฟางเจิ้งแล้ว ตอนนั้นฟางเจิ้งยังไม่ออกจากหมู่บ้านเลย คำนวณเวลารวมถึงระยะห่างจากจุดที่สองคนนั้นเกิดอุบัติเหตุแล้ว เว้นแต่ฟางเจิ้งจะมีปีกที่ขาสองข้าง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางช่วยคนแล้วยังส่งกลับมาได้
ดังนั้นลวี่เหลียงจึงลบความคิดนี้ไป เอ่ยกับพวกหวังโอ้วกุ้ย “ไม่ว่าจะยังไง เด็กกลับมาก็ดีแล้ว ผมก็วางใจ คือผมขอตัวก่อนนะครับ มีงานเข้าผมอีกแล้ว”
ซุนเฉียนเฉิงรีบออกมาส่ง ไม่ว่าอย่างไรลวี่เหลียงก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ จะยัดเงินไม่ได้ ได้แต่ขอบคุณ มาส่งหน้าประตูก็เป็นเรื่องสมควร
ทุกคนเดินตามออกจากประตู ฟางเจิ้งลอบถอนหายใจ ดีที่ตอนเขากลับมาได้เร่งความเร็วอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคงยืดเวลาไปนานมาก แล้วจะเกิดปัญหาเอาจริงๆ ได้ ถ้าทุกคนซักถาม เขาก็อธิบายยากอีก…คนหนึ่งจะวิ่งเร็วขนาดนั้น? ในสถานการณ์ปกติแน่นอนว่าไม่มีทาง!
ลวี่เหลียงยืนอยู่หน้าประตูหมู่บ้าน หันไปมองทางภูเขาเอกดรรชนีตามจิตใต้สำนึก
ฟางเจิ้งดวงตาเปล่งประกาย ใช้ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง!
ลวี่เหลียงเห็นบนภูเขาเอกดรรชนีปรากฏเงาพระพุทธยักษ์ วินาทีนั้นเขาแทบจะคุกเข่าลง! แต่เขาไม่ใช่พุทธมามกะ ไม่มีการคุกเข่า แค่พูดเสียงดังในใจ ‘ปรากฏอีกแล้ว หรือว่าจะเกิดเรื่องอีก?’
ต่อมามีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตรงหน้าลวี่เหลียง สวมชุดทันสมัย วัยรุ่นมาก สวยมาก ยิ้มก็น่ามอง เพียงแต่บนหัวเธอมีอักษรใหญ่ที่เขียนโดยอักษรพุทธองค์มังกรแถวหนึ่ง นั่นทำให้ลวี่เหลียงตะลึงงัน อักษรใหญ่สีทองเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘คนขายเด็ก’
“คะ…คือไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์จะต้องชี้แนะให้ฉันตระหนักด้วยตัวเองเหรอ? นี่มันตรงเกินไปแล้ว…” ลวี่เหลียงทำหน้าหมดคำจะพูด
ต่อมาภาพหายไป ลวี่เหลียงมองหมู่บ้านเอกดรรชนีแล้วส่ายหน้า ขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน เชิญคุณพ่อประจำบ้านมาอีกครั้ง สเก็ตช์ภาพ เริ่มตรวจสอบ
หลังการตรวจสอบลับๆ อยู่หนึ่งเดือน ในที่สุดลวี่เหลียงก็ได้หลักฐานมากพอ เมื่อรายงานไป เมืองเฮยซานให้คดีนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญ! สามเดือนต่อมาแก๊งอาชญากรรมรายใหญ่หกสิบหกคนในเขตปกครองสามสิบสี่มณฑลทั่วประเทศถูกถอนรากถอนโคน เด็กที่พวกเขาขายมีมากถึงหลายร้อยคน! ตอนนี้สะเทือนไปทั่วประเทศ! ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของประชาชน การตัดสินคดีในครั้งนี้จึงถ่ายทอดสดทางอินเทอร์เน็ตทุกขั้นตอน สุดท้ายหัวโจกห้าคนถูกตัดสินโทษประหารทันที ผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นอย่างต่ำถูกจำคุกสิบห้าปี จำคุกสูงสุดตลอดชีวิต เวลานี้ประชาชนต่างส่งเสียงไชโย
ขณะเดียวกันยังได้รับข้อมูลของเด็กที่ถูกลักพาตัวไปขายจำนวนมากจากผู้สมรู้ร่วมคิด การช่วยเหลือครั้งใหญ่จึงเริ่มขึ้น…
ทว่าลวี่เหลียงในตอนนั้นกลับเจอสถานการณ์ลำบากใจ ตามการตรวจสอบของเขา การตายของหวังเจี่ยและผู้หญิงไฝดำไม่ใช่อุบัติทั่วไป จากการให้ปากคำของตำรวจในวันนั้นรวมถึงคนขับรถนามเจียงเยี่ย และยังมีปากคำจากชาวบ้านริมถนน ต่างบอกว่าวันนั้นเห็นหลวงจีนหัวโล้นและหมาป่าสีขาวตัวใหญ่ทะยานบนถนนจริงๆ ความเร็วน่าเหลือเชื่อ!
ลวี่เหลียงเกิดการคาดเดาอย่างกล้าหาญ แถมยังกลับไปเล่าให้บิดาลวี่ฮุยฟังที่บ้าน แต่ลวี่ฮุยถามกลับ “แกตรวจสอบเรื่องนี้มีความหมายอะไร?”
ลวี่เหลียงอึ้งไป ใช่ มีความหมายอะไร? คนที่ควรตายก็ตายไปแล้ว คนที่ควรจับก็จับไปแล้ว คนที่ควรช่วยก็ช่วยแล้ว ได้บุญกุศลเต็มๆ จะถามถึงเรื่องที่ไร้ความหมายเหล่านี้ทำไม? ดังนั้นลวี่เหลียงจึงเผาข้อมูลทุกอย่าง…
ส่วนตำรวจและเจียงเยี่ยที่รู้ว่าคนที่ตายเป็นพวกขายเด็กแล้วก็นึกไปถึงการสอบถามจากลวี่เหลียง พลันรู้สึกว่าปัญหาอาจจะซับซ้อน ทว่าพวกเขาต่างปิดปากเงียบโดยไม่ต้องนัดหมาย ไม่ว่าใครถามจะตอบว่าไม่เห็นหลวงจีนกับหมาอะไรนั่น ถ้าซักถามหนักๆ ก็จะบอกว่าน่าจะตาฝาด ทำเอาคนที่สนใจเรื่องนี้ต้องยอมแพ้ไป
ทว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องราวจากนี้ ฟางเจิ้งเห็นลวี่เหลียงรีบไปจึงโผล่หัวออกมาจากหลังเล้าหมูครอบครัวหนึ่ง ถึงความฝันยามต้มข้าวฟ่างจะร้ายกาจ แต่ถ้าอยู่ห่างเกินไปก็ไม่ได้ ถ้าไม่มียันต์กำหนดที่ตั้งจะใช้ไม่ได้
บ้านนี้ไม่ได้เลี้ยงหมู แต่ในเล้าหมู่มีข้าวของวางระเกะระกะไม่น้อย กลิ่นเหม็นลอยโชย ฟางเจิ้งรีบออกจากเล้าหมูกลับขึ้นเขาไป
ระหว่างทางฟางเจิ้งเอ่ยขึ้น “ระบบ ครั้งนี้ขอบใจนะ”
แต่ระบบเงียบ
ฟางเจิ้งยิ้มสบายๆ ไม่ได้พูดอะไร ครั้งนี้ไปช่วยเหมิงเหมิงได้ราบรื่นไม่ใช่แค่โชคช่วย อิทธิวิถีมีโอกาสสุ่มที่คาดเดาไม่ได้ เขาไม่เชื่อว่าแค่เปิดใช้ก็ได้อภินิหารย่อแผ่นดินเป็นนิ้วที่เหมาะจะไล่ตามคนขายเด็กได้อย่างแน่นอน แม้ระบบจะเงียบ แต่เขาเชื่อว่าในนั้นจะต้องมีระบบช่วยอยู่แน่ๆ
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากรับความดีความชอบเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูด จึงเบี่ยงหัวข้อไป “ระบบ คือว่า…นายลืมรางวัลของอาตมารึเปล่า?”
“นายอยากได้รางวัลอะไรล่ะ? อยากได้ชุดสมบูรณ์หรือแยกชิ้น?” ระบบถามทันที
ฟางเจิ้งงุนงง “หมายความว่าไง?”
……………………..