The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 279 โทรศัพท์ที่ก่อความวุ่นวายไม่หยุด
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 279 โทรศัพท์ที่ก่อความวุ่นวายไม่หยุด
ขณะเดียวกันในโชว์รูมปอร์เช่โดยเฉพาะของเมืองเฮยซาน ผู้หญิงคนหนึ่งโมโหจนแทบจะขว้างมือถือทิ้ง เอ่ยด้วยความโกรธ “ไอ้หลวงจีนบ้ามันหลอกฉัน!”
ถึงเสี่ยวหรงกำลังด่า แต่เธอก็รู้ว่าครั้งนี้ตนรีบร้อนไปจริงๆ ชอบตัดสายอีกฝ่ายในช่วงเวลาสำคัญทุกครั้ง สุดท้ายกลายเป็นเรื่องตลก! แต่เธอมักจะรู้สึกว่าถูกหลวงจีนสารเลวนั่นหลอก!
‘ไม่ได้การ ฉันทนโกรธอย่างนี้ไม่ไหว ต้องหาข้อมูลว่าเจ้านี่อยู่ไหน หึๆ…ไม่ขาดเงินห้าหมื่นเหรอ? แถมยังถามสมรรถนะ จะลองรถนางฟ้าปอร์เช่คันละสิบกว่าล้าน? รอฉันก่อนเถอะ! ครั้งหน้าฉันจะขายเครื่องบินให้แก ดูซิว่าแกจะมีเหตุผลอะไรปฏิเสธฉันอีก!’ เสี่ยวหรงร้องโวยวายเสียงดังในใจ ขณะเดียวกันก็ตรึกตรองว่าควรจะไปหาสักครั้งหรือไม่ ดูว่าไอ้คนลวงโลกนี่หน้าตาอัปลักษณ์อย่างไรกันแน่!
ขณะเดียวกันฟางเจิ้งมาอยู่หน้านาข้าวผลึก นั่งลงใต้ต้นแม่ไผ่หนาว ครั้งนี้ไม่ได้เอามู่อวี๋มาด้วย แต่สวดมนต์อย่างสงบนิ่ง เมื่อเสียงสวดดังขึ้น ไผ่แม่สั่นไหวตามสายลมเบาๆ เหมือนฟังเข้าใจ ขณะเดียวกันในที่สุดหน่ออ่อนของข้าวผลึกในนาข้าวก็โผล่มาเหนือผิวน้ำ เป็นสีเขียวมันขลับดูเด่นตาเป็นพิเศษ…
กลางคืน ฟางเจิ้งกำลังนอน มือถือพลันดังขึ้น
ฟางเจิ้งรับสายด้วยความจำใจ ไม่มองเบอร์มือถือ ความคิดเลือนรางนิดๆ ก่อนได้ยินเสียงเด็กจากปลายสาย “เฮ้! ใช่พ่อไหม?”
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด จึงตอบไป “เฮ้ อาตมาไม่ใช่พ่อโยมจริงๆ…”
“หา…อ่อ ขอโทษครับ” น้ำเสียงเด็กดูหดหู่นิดๆ ก่อนวางสายไป
พอได้ฟังน้ำเสียงผิดหวังของเด็ก ฟางเจิ้งพลันหมดอารมณ์จะหลับแล้ว เขานอนอยู่บนเตียง เกิดความปวดร้าวในใจ เขาไม่มีบุพการีมาตั้งแต่เล็ก ถึงไม่เคยขาดความรัก แต่ความรักของใครจะมาแทนที่บุพการีได้จริงๆ? เสื้อผ้าสวยงามอาหารเลิศรสเทียบไม่ได้กับอยู่กับบุพการี นี่คือความปรารถนาของเด็กทุกคน…
‘จะตอบรับเขาหน่อยดีไหมนะ บางทีเขาอาจจะดีใจ แต่ว่าเราเองยังไม่รู้ชื่อเขาเลย ถ้าเกิดเรื่องไม่สัมพันธ์กันจะไม่เขินแย่เหรอ?’ ฟางเจิ้งส่ายหน้า พลิกตัวกลับ สะลึมสะลือหลับไปอีกรอบ
วันที่สองเช้าตรู่ ขณะกำลังกินข้าวมือถือฟางเจิ้งดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเตรียมตัวมาอย่างดี ดูเบอร์ก่อน ไม่ใช่เด็กคนนั้นพลันถอนหายใจโล่งอก คนที่โทรมาคือจิ่งเหยียน
ฟางเจิ้งกำลังจะรับสายก็เห็นว่าอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่จึงโทรกลับ ทว่าเสียงจากปลายสายไม่ใช่เสียงตู้ดๆ แต่เป็นเสียงรอสาย เป็นเพลงหนึ่ง เสียงเพลงมีความทุ้มต่ำหลายส่วน มีความเศร้าบ้าง ฟางเจิ้งฟังแค่สองประโยคก็ใจสั่นไหวตาม ในความคิดปรากฏร่างเงาของหลิวฟางฟางในป่าเบิรช์ขึ้นทันที…
‘หิมะขาวพัดผ่านหมู่บ้านเงียบสงบ นกพิราบบินว่อนใต้ฟ้าครึ้ม ต้นเบิรช์ขาวสลักสองชื่อนั้น…’
ฟางเจิ้งฟังเงียบๆ พลางหวนนึกถึงอดีต สัมผัสท่วงทำนองในนั้น ฟังเรื่องราวในนั้น ขณะนี้เองเสียงเพลงจบลง เป็นเสียงขี้เล่นดังขึ้น “ฮัลโหลไต้ซือ ท่านตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ…”
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาพุทธ สีกา เมื่อกี้สีกาโทรหาอาตมาก่อนนี่”
“หา? ใช่เหรอ? เมื่อกี้ฉันเพิ่งปิดนาฬิกาปลุก มืออาจจะไปโดน ขอโทษด้วยนะคะ ฮ่าๆ…” น้ำเสียงจิ่งเหยียนกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด แบบนี้ก็ได้หรือ แต่เขาก็ยังถามด้วยความแปลกใจ “สีกา เสียงรอสายมือถือนั่นเพลงอะไรน่ะ? อาตมาชอบมากเลย”
“ป่าเบิรช์ขาวค่ะ ครั้งก่อนไปหาเจอในอินเทอร์เน็ตโดยบังเอิญ เพลงนี่เข้ากับคุณยายหลิวฟางฟางมาก ถึงจะมีความต่างก็เถอะ แต่ฉันชอบมาก ชอบรสชาตินั้น” จิ่งเหยียนตอบ
ฟางเจิ้ง “เพราะมากจริงๆ มีเสน่ห์มาก อ้อ สีกาหลิวเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วก็ท่าเรือ…”
“หุๆ ไต้ซือ วางใจเถอะ ไม่ได้รื้อท่าเรือ เมื่อก่อนรื้อเพราะว่าท่าเรือตรงนั้นสกปรกไม่เรียบร้อย ถ้าไม่ขยับท่าเรือก็ขยับที่อื่นไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว รัฐบาลวางแผนว่าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอนุสรณ์ของผู้เสียสละ จากนี้ไปจะเป็นที่ที่พวกเรารำลึกถึงวีรบุรุษผู้เสียสละ อีกอย่างในเมืองยังเตรียมสร้างศิลาจารึกวีรชนไร้ชื่อด้วย ต่อไปก็เช็งเม้ง ทุกคนจะไปปัดกวาดหลุมศพที่นั่น ตอนนี้มันไม่ใช่ที่ที่คุณยายหลิวรอวีรบุรษกลับบ้านคนเดียวแล้ว แต่เป็นที่ที่พวกเรารอด้วยกันทุกคน
ตอนนี้รัฐบาลกำลังจัดส่งคนให้เริ่มบูรณะแบบคงเดิม เสริมให้แข็งแรงขึ้น ทั้งยังมีคนคอยทำความสะอาดท่าเรือให้โดยเฉพาะ หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป ประชาชนในท้องที่ต่างให้ความร่วมมือที่ดีมาก พากันออกมาเก็บกวาดถนน ตอนนี้ที่นั่นไม่ใช่แค่ไม่สกปรกนะ แต่สะอาดมากด้วย แค่สิ่งก่อสร้างยังเก่าอยู่บ้าง แต่แบบนี้ก็ดี จะได้หากลิ่นอายในตอนนั้นเจอ
คุณยายหลิวกลับบ้านเกิดไปแล้ว ตอนนี้มีชีวิตดีมาก คนในหมู่บ้านดูแลเธอดีมาก คนในครอบครัวยอมรับเธออีกครั้ง มีชีวิตที่ดีเลยล่ะ” จิ่งเหยียนเล่า
ฟางเจิ้งตกใจมาก ถึงเขาจะหวังให้รัฐบาลเก็บท่าเรือที่ส่งวีรชนไปแต่ยังไม่กลับมาไว้ก็ตาม แต่เขาไม่ได้หวังอะไรมาก ถึงอย่างไรหลายเรื่องก็ไม่น่าเปลี่ยนไปเพราะความตั้งใจของคนคนเดียว เพียงแต่ไม่นึกเลยว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้กว่าที่เขาคิด
เมื่อได้ฟังข่าวดี ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ ประเสริฐๆ”
สองคนคุยกันอีกนิดหน่อย จิ่งเหยียนพูด “ไต้ซือ คุยแค่นี้ก่อนนะคะ วันนี้ยังมีข่าวต้องไปสัมภาษณ์อีก ตื่นนอนแล้ว บายค่ะ”
ฟางเจิ้งไม่ได้ถามอะไรมาก วางสายแล้วเริ่มกินข้าว
เด็กแดงนั่งตรงข้าม แต่กลับเอียงหูฟังตลอด เห็นฟางเจิ้งพูดจบก็กลืนข้าวคำสุดท้ายลงไป จากนั้นแสยะปาก ทำเสียงหึๆ “อาจารย์ คุยกับอุบาสิกาหรือ? คุยมีความสุขเหลือเกิน”
ฟางเจิ้งได้ฟังจากน้ำเสียงมีลับลมคมในของเด็กแดงแล้วเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยด้วยความจริงใจ “จิ้งซินเอ๋ย กินข้าวเสร็จแล้วหรือ? กินเสร็จแล้วก็ไปตักน้ำเถอะ”
เด็กแดงมองฟางเจิ้งอย่างคับอกคับใจ ฟางเจิ้งกำลังกินข้าวช้าๆ อย่างมั่นคง ทำท่าทางว่านายตามสบาย เด็กแดงย่นจมูกขึ้นพลางคิดในใจ ‘ถ้าไม่ใช่ว่าสู้เจ้าไม่ได้ รับรองว่าจะตีเจ้าให้ตาย!’
ก่อนเด็กแดงจะไปตักน้ำด้วยความทุกข์อย่างยิ่ง…
พวกคนงานก่อสร้างที่เคยเห็นเด็กแดงตักน้ำลงเขามาอีกครั้งต่างชินชาแล้ว ทว่าก็ยังมองเขาไปๆ มาๆ ด้วยแววตาเห็นใจ ทำเอาเด็กแดงไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่าเขามีนิสัยหยิ่งยโส ขี้เกียจจะพูดกัยคนธรรมดาพวกนี้…
ฟางเจิ้งกินข้าวเสร็จแล้วมาที่หน้าอุโบสถ ปิดมือถือก่อนเดินเข้าอุโบสถไปเคาะมู่อวี๋ สวดมนต์
ภายในลาน ต้นโพธิ์งอกงามมากขึ้นเรื่อยๆ แมกไม้ใหญ่ขึ้น แกว่งไกวตามสายลม ใบไม้โปรยปราย ใต้ต้นไม้มีลิงสวมจีวรตัวหนึ่งกำลังกวาดใบไม้เอื่อยเฉื่อย กระรอกบนต้นไม้กำลังลำเลียงเมล็ดสนเข้าไปในบ้านพักส่วนตัวของมันอย่างขะมักเขม้น ทั้งโลกเหมือนตกอยู่ในห้วงความเงียบสงบและเป็นมงคล