The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 312 ขู่เข็ญ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วตามเช่นกัน “ไม่มีวิธีจัดการเลยเหรอ?”
ถานจวี่กั๋วเอ่ยด้วยความจนปัญญา “ฟ้าฝนไม่ตก พวกเราจะมีวิธีอะไร” พูดจบก็หยิบถ้วยยาสูบยาวขึ้นมา ทั้งตัวดูหดหู่เล็กน้อย
หยางผิงเอ่ยตาม “นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาฝนตก กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว พวกเรารู้จักที่ดินหมู่บ้านเรา ข้างล่างไม่ใช่หินและก็ไม่ใช่ดินเหนียว แต่เป็นทราย ทรายไม่กักน้ำ ฝนตกลงมาก็ไหลลงดิน นาน้ำหมู่บ้านเราแทบจะต้องวิดน้ำเข้าทุกวันอยู่แล้ว
แต่ปัญหามาแล้ว น้ำบาดาลไม่ได้มีไม่จำกัด จะต้องมีวันหนึ่งที่สูบแห้ง อีกอย่างหมู่บ้านพวกเราอยู่ไกล แถมยากจน การปรับแก้ปั๊มน้ำยังมาไม่ถึงที่นี่ แต่ละบ้านต้องสูบน้ำ นี่ทำให้เกิดการสูบน้ำอย่างมาก สิ้นเปลืองน้ำมาก เร่งความเร็วให้น้ำบาดาลถูกสูบจนแห้ง ผมเคยบอกแต่แรกแล้วว่าต้องหยุดทำแบบนี้…”
“พูดคล่องแคล่วดี ไม่สูบน้ำ แล้วแกจะให้ทุกคนปลูกอะไร?” ถานจวี่กั๋วพูดอย่างไม่พอใจ
หยางผิงยิ้มแห้งๆ “เสมียน ผมกำลังหาสาเหตุอยู่นะ ท่านอย่าเพิ่งเถียงสิ หมู่บ้านเราสูบน้ำแบบนี้ ตอนนี้ขาดน้ำ นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องสะสาง สิ่งที่ผมกังวลตอนนี้ไม่ใช่แค่นี้…”
“แล้วอะไร?” ถานจวี่กั๋วถาม
หยางผิงตอบ “ผมเคยตรวจสอบมาว่ามีหมู่บ้านบางแห่งสูบน้ำบาดาลจนแห้งแล้ว…เฮ้อ พูดอย่างนี้ดีกว่า” หยางผิงหยิบแตงโมหลายชิ้นมาซ้อนกัน ชี้พลางว่า “นี่คือผิวดิน นี่คือชั้นทราย นี่คือน้ำบาดาล ตอนที่ใต้ดินยังมีน้ำเป็นแบบนี้ ดูอุดมสมบูรณ์มาก ตอนนี้ใต้ดินไม่มีน้ำแล้วก็เป็นแบบนี้…”
หยางผิงดึงแตงโมข้างล่างออก แตงโมข้างบนจึงตกลงมาทันที
“หน้าดินถล่ม?!” หวังโอ้วกุ้ยร้องตกใจ
“หลุมใหญ่?” ถานจวี่กั๋วใช้คำที่มีพลังในการบรรยายจริงๆ
ฟางเจิ้งพูด “นั่นมันอันตรายมากไม่ใช่เหรอ?”
หยางผิงพยักหน้า “อันตรายมากจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ นี่เป็นเพียงความเป็นไปได้หนึ่ง ดังนั้น…”
“ดังนั้นยังไง? พวกเรายังมีวิธีอื่นอีกไหม?” หวังโอ้วกุ้ยยิ้มแห้งๆ
ถานจวี่กั๋วกล่าว “ปรับแก้นาน้ำให้หมด เปลี่ยนเป็นนาแห้ง”
“แต่ว่าราคาของข้าวโพดช่วงหลายปีมานี้…กลัวว่าเปลี่ยนแล้วจะขายไม่ออก” หวังโอ้วกุ้ยค้าน
ฟางเจิ้ง “อมิตาพุทธ พวกโยม อาตมามีวิธี”
“วิธีอะไร?” ถานจวี่กั๋วถาม
ฟางเจิ้ง “ง่ายมาก ตอนนี้ป่าไผ่ยังเติบโตได้ต่อ สู้ใช้ที่นาปลูกไผ่หนาวดีกว่าไหม ถึงไผ่หนาวจะต้องการน้ำสูงเช่นกัน แต่ขอเพียงฝนตกก็เติบโตได้ ทนความแห้งแล้งได้สักระยะหนึ่งเลย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ตายก็ตายไป ถึงยังไงมันก็โตเร็ว พอฝนตกก็จะงอกมาใหม่”
“นี่ก็เป็นวิธีหนึ่ง พวกเราเริ่มบุกเบิกไผ่แล้ว ต้องใช้เวลา จะผลีผลามไม่ได้ ถึงยังไงพวกเราก็ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ต้องวางแผนให้ดีสักระยะหนึ่งก่อน อีกอย่างคนที่ใช้น้ำก็ไม่ใช่แค่หมู่บ้านพวกเรา ตอนนี้ทั้งภูมิภาคแห้งแล้ง หลายหมู่บ้านเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน” ถานจวี่กั๋วพูด
ฟางเจิ้งไม่นึกเลยว่ามันจะแล้งถึงเพียงนี้ จึงถาม “หากแห้งแล้งต่อไปจะเป็นยังไง?”
“ไม่ได้เก็บเกี่ยวข้าวสักเม็ดเดียว” ถานจวี่กั๋วตอบอย่างจริงจัง
ออกจากหมู่บ้านเอกดรรชนีไป จิตใจฟางเจิ้งหนักอึ้งเล็กน้อย ความแห้งแล้งต่อเนื่องทำให้หมู่บ้านใกล้เคียงเกิดปรากฏการณ์ขาดน้ำ แม้จะไม่ถึงขั้นคนกระหาย แต่ถ้าจะเติมน้ำเข้านาก็คงยากแล้ว…ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ชาวบ้านใกล้เคียงต้องประสบหายนะแน่ๆ
อีกอย่าง ฟางเจิ้งคงดำเนินชีวิตได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่มีน้ำพุ เขาจึงได้แต่ลงเขาไปตักน้ำ ถ้าตีนเขาไม่มีน้ำ เขาจะดื่มอะไร?
“อาจารย์ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ถือว่ายากมากนัก” เด็กแดงเห็นความกังวลใจของฟางเจิ้งจึงยักย้ายส่ายหัว
ฟางเจิ้งตาเปล่งประกายทันที “นายมีวิธีเหรอ?”
“แน่นอนว่าต้องเรียกลมเรียกฝน! ขอแค่มีอภินิหารนี้ กวักมือเรียกลม โบกมือเรียกฝน ลมฝนก็มาแล้ว แก้ปัญหาภัยแล้งได้ทันที!” เด็กแดงหัวเราะเบาๆ
“ศิษย์น้องสี่ นายมีอภินิหารนี้เหรอ?” หมาป่าเดียวดายได้ยินดังนั้นจึงถามด้วยความตื่นเต้นทันที
เด็กแดงเอามือเล็กไพล่หลัง เชิดหน้ายืดอกขึ้นพูดด้วยความโอหัง “การเรียกลมเรียกฝน สาดถั่วเป็นทหารคือไม้เด็ดของลัทธิเต๋า มหาราชาไม่มีความสามารถ ถึงจะเป็นราชาปีศาจ แต่ข้าผูกมิตรกับสหายในใต้หล้าไว้มากมาย สหายลัทธิเต๋าอย่างเล่าจื๊อมีนับไม่ถ้วน…”
“นายทำได้เหรอ?” ฟางเจิ้งตื่นเต้นเช่นกัน ถ้าเด็กแดงเรียกลมเรียกฝนได้ก็จะแก้ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ได้ในฉับพลัน!
เด็กแดงพลันกุมหัวร้องขึ้น “โอ้ ไม่ไหวแล้ว ปวดหัว…คิดไม่ออก ข้าต้องไปนอนก่อน อาจารย์ ข้านอนได้หรือไม่?” พูดจบเจ้านี่กะพริบตาปริบๆ มองยังไงก็ไม่เหมือนปวดหัว
ฟางเจิ้งย่อมรู้ความคิดของเจ้าเด็กนี่ นี่มันจะอาศัยโอกาสนี้ขู่เขา แต่ฟางเจิ้งก็จนปัญญา จึงได้แต่พยักหน้า “ไปเถอะ พักผ่อนเยอะๆ”
“อาจารย์ อุโบสถนอนไม่สบาย” เด็กแดงหัวเราะเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนเตียงอาจารย์เถอะ” ฟางเจิ้งตอบ
เด็กแดงพลันยิ้มร่าเริง วิ่งเข้าไปในกุฏิฟางเจิ้ง ขึ้นเตียงเตา นอนหลับ! นอนบนเตียงเตาแล้วปลื้มอกปลื้มใจอย่างยิ่ง มาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นอนในกุฏิ ถึงตัวเขาจะเป็นราชาปีศาจ ความร้อนหนาวในโลกมนุษย์ไม่มีปัญหากับเขาเลยก็เถอะ แต่คนน่ะ…มักคิดจะได้สิ่งที่ดีกว่า ถึงสิ่งที่ดีกว่านี้อาจจะไม่ได้ดีเท่าไร แต่ขอแค่ได้มายากก็ดีหมด!
“อาจารย์ ศิษย์น้องสี่อาศัยโอกาสนี้ต่อรอง” ลิงพูดอย่างไม่พอใจนิดๆ
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “ใช่ ใครใช้ให้เจ้านี่มีความสามารถกัน เอาล่ะ ไปทำงานเถอะ อาจารย์จะคิดหาวิธีหน่อย…”
พูดจบ ฟางเจิ้งกลับไปในอุโบสถ จุดธูปสามดอกให้พระโพธิสัตว์กวนอิม จากนั้นสวดภาวนาเงียบๆ “ขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล”
แต่ฟางเจิ้งก็รู้ว่าพระพุทธรูปสององค์ตรงหน้าอาจจะช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ ที่ขอพรก็แค่ปลอบตัวเองเท่านั้น ขอพรพระโพธิสัตว์เสร็จก็ไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ ถามขึ้น “ระบบ พุทธศาสนาเราไม่มีวิชาเรียกลมเรียกฝนเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้นายยังพูดถึงวิธีต่างกันแต่ได้ผลลัพธ์เหมือนกันอยู่เลย ตอนนี้ลืมแล้ว? การเรียกลมเรียกฝนไม่ใช่อภินิหารเฉพาะของนิกายใดนิกายหนึ่ง แต่เป็นอภินิหารที่ใช้กันทั่วไป เปรียบง่ายๆ คือการปิดไฟก็ต้องกดสวิตซ์ ขอแค่เข้าใจหลักการในนั้นก็จะทำได้ ลัทธิเต๋า พุทธศาสนาและลัทธิขงจื๊อล้วนมีอภินิหารคล้ายๆ กัน แต่ว่าโดยทั่วไปแล้วทุกคนจะเรียกว่าเรียกลมเรียกฝน นายอยากเรียกลมเรียกฝนก็ง่าย ใช้อิทธิวิถีของนายสิ เผื่อจะได้ออกมา?”
“เผื่อจะ?!” ฟางเจิ้งมองบน แทบจะตะโกนออกไป คิดว่าจะใช้อภินิหารของอิทธิวิถีได้ตามใจชอบรึไง? นั่นต้องใช้บุญกุศลแลก! เขาทำใจใช้บุญกุศลอันน้อยนิดในตัวเขาไม่ได้ ทว่าพอคิดอีกที จะหวังพึ่งเด็กแดง? เขาก็ไม่วางใจอีก เด็กนี่เรียกลมเรียกฝนได้จริงรึเปล่ายังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เขาอาศัยโอกาสนี้ขู่เขา อีกอย่างจะให้เขาลงมือในระยะเวลาสั้นๆ ก็ยากอีก!
ขอให้คนอื่นช่วยสู้ช่วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นฟางเจิ้งจึงกัดฟัน หลับตาลง เปิดอิทธิวิถี!
………………….