The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 313 ดอกไม้บานทันใด
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 313 ดอกไม้บานทันใด
ต่อมาเขามองคำแนะนำประโยคหนึ่งพลางสะอื้นไห้ ใช้บุญกุศลสิบ! หรือพูดได้ว่าอภินิหารระดับอย่างเรียกลมเรียกฝน อย่างต่ำๆ ต้องใช้บุญกุศลสิบแต้ม! บุญกุศลที่ได้มาจากภารกิจครั้งก่อนใช้ได้สิบครั้งเท่านั้น! วินาทีนั้นฟางเจิ้งเศร้าใจมาก…
“บุญกุศลก็เสียไปแล้ว มาเถอะ ให้อาตมาดูหน่อยว่าอภินิหารอะไร!” ฟางเจิ้งถลึงตาโต มองภาพในความคิด
ต่อมามีอักษรใหญ่เปล่งแสงทองวาววับสี่ตัวลอยออกมา “ดอกไม้บานทันใด!”
ดอกไม้บ้านทันใด หนึ่งความคิดดอกไม้บาน กระตุ้นความเร็วในการเติบโตของพืชได้ถึงที่สุด ถึงขั้นพริบตาเดียวดอกไม้บานและร่วงโรย เร่งให้สุก เพิ่มความเร็วในการขยายพันธุ์
‘เอาเถอะ นี่จะให้อาตมาไปเป็นคนสวนรึไง?’ ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ ในใจ
แม้อภินิหารนี้จะลวงหลอกอยู่นิดๆ แต่ฟางเจิ้งไม่คิดจะสิ้นเปลือง หยุดสุ่มอภินิหารชั่วคราวไปก่อน เขาออกจากอุโบสถจะออกไปดูไผ่หนาว
ก็ได้ยินเสียงเด็กแดงโวยวายเสียงดัง “อาจารย์ ศิษย์หิวแล้ว ทำอะไรมาให้กินหน่อยได้หรือไม่? ไม่เช่นนั้นจะอารมณ์ไม่ดี คิดไม่ออก!”
ฟางเจิ้งได้ยินเสียงเด็กนี่แล้วอยากจะเข้าไปตบมันสักสองทีจริงๆ ด้วยความจำใจ สุ่มอภินิหารเรียกลมเรียกฝนไม่ได้จึงยังต้องหวังพึ่งเด็กแดง เขาแค่แค่นเสียงหึๆ สองทีแล้วให้ลิงไปทำอาหาร
ลิงได้ยินแบบนั้นพลันปากเบี้ยว “ศิษย์น้องสี่ นายทำเอาไม่ได้รึไง?”
“ไม่ได้ ข้ากำลังคิดถึงปัญหาเรียกลมเรียกฝนอยู่ จะแบ่งใจไปได้อย่างไร? รีบไปทำอาหารเถอะ! วันนี้ข้าอยากกินน้ำแกง!” เด็กแดงพูด
ลิงมองฟางเจิ้งอย่างคับอกคับใจ ฟางเจิ้งว่า “ไปทำให้เขาเถอะ”
ลิงจึงได้แต่ไปในครัวด้วยความจำใจ หลังจากฟางเจิ้งมอบครัวให้เด็กแดงแล้ว ลิงก็ช่วยงานไม่น้อย อีกอย่างบนเขาเอกดรรชนีทำอาหารกันง่ายๆ ใส่น้ำใส่ข้าว คุมไฟก็ได้แล้ว ลิงฉลาด เรียนรู้ไม่กี่ครั้งก็เป็น
ส่วนการทำซุปก็ง่าย ต้มน้ำหนึ่งหม้อ โยนหน่อไม้เข้าไปกำหนึ่ง โรยเหลือกำหนึ่งก็เสร็จแล้ว ส่วนน้ำมัน? ใช้หมดไปนานแล้ว หาซื้อน้ำมันพืชแถบนี้ยาก ใช้หมดแล้วก็หมดเลยจริงๆ ฟางเจิ้งเองก็ไม่ไปหามาเพิ่มอีก ดังนั้นพวกเขาจึงทำอาหารไม่ใช่น้ำมันมานานมากแล้ว
เห็นลิงทำอาหาร ทำซุปอย่างชำนาญ ฟางเจิ้งจึงไม่สนใจ เดินไปภูเขาข้างหลัง ใช้อภินิหารดอกไม้บานทันใดกับแม่พันธุ์ไผ่หนาว ต่อมาแม่พันธุ์ไผ่หนาวเปล่งแสงสีเขียวสายหนึ่ง ก่อนฟางเจิ้งจะเห็นต้นไผ่เริ่มเติบโตไปบนเขาทีละต้น ฟางเจิ้งรีบควบคุมแม่พันธุ์ไผ่ ให้ต้นไผ่ลงเขาไป! เวลานี้รอบนอกเทือกเขาทงเทียนมีต้นไผ่ผุดขึ้นมาตรงจุดที่ไม่มีที่นาเนิบๆ ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง รีบปิดอภินิหารนี้!
ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็มีป่าไผ่ใหญ่เพิ่มมาจากความว่างเปล่า! ฟางเจิ้งเหงื่อเต็มหน้าผาก ถ้าคนเห็นต้นไผ่เติบโตแบบนี้ เดาว่าวันต่อมาจะต้องเป็นข่าว
ดีที่ต้นไผ่เหล่านี้อยู่ในถิ่นค่อนข้างกันดาร เวลาใกล้จะเที่ยงแล้ว ปกติไม่มีคนมาริมภูเขาใหญ่ แต่ช่วงบ่ายก็พูดยาก…ทว่าเกิดเรื่องแล้ว ฟางเจิ้งเลยได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อีกอย่างป่าไผ่ไม่ได้ถือว่าขึ้นมาเยอะเป็นพิเศษ ประกอบกับไผ่หนาวเติบโตรวดเร็ว จึงไม่น่าจะมีใครก่อเรื่องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
ฟางเจิ้งเก็บอภินิหารไปแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก หมุนตัวกลับจะใช้ดอกไม้บานทันใดกับข้าวผลึก แต่ว่า…
“ขอเตือนอย่างเป็นมิตร อภินิหารระดับนี้ ถ้าใช้แล้วจะเก็บค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้ง หรือพูดได้ว่าหนึ่งครั้งบุญกุศลสิบแต้ม!”
ฟางเจิ้งมือสั่น ก่อนเก็บอภินิหารที่เกือบจะใช้กลับไปทันที ถึงข้าวผลึกจะล้ำค่า แต่นี่ก็ใช้เงินซื้อได้ บุญกุศลใช้เงินซื้อไม่ได้ ชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ เขาเก็บอภินิหารกลับไป ขณะเดียวกันยังดูหมิ่นความปลิ้นปล้อนของระบบในใจอีกครั้ง จะเก็บค่าใช้จ่ายตามครั้ง ทำไมไม่ไปปล้นเลยล่ะ? ไม่ใช่สิ นี่คือการปล้น!
แต่ก็จนปัญญา ไม่มีแรงต่อต้าน อดทนแล้วกัน
ฟางเจิ้งไม่สุขใจ และก็ไม่ได้รีบร้อนกลับวัดเอกดรรชนีอยู่แล้ว แต่เดินเล่นบนเขา ไม่รู้ว่าเดินอยู่นานเท่าไร ท้องร้องจ๊อกๆ ถึงกลับไป
ตอนที่ฟางเจิ้งกลับถึงวัดเอกดรรชนี ลิงทำซุปเสร็จแล้ว วางอยู่บนโต๊ะ
เด็กแดงหย่อนก้นนั่งลงบนตำแหน่งที่ฟางเจิ้งนั่งประจำ ยังไม่ทันที่ฟางเจิ้งกลับมาก็ขยับตะเกียบเริ่มกิน ดื่มซุปเหลวส่งเสียงดังไม่หยุด
หมาป่าเดียวดายพูดอย่างไม่พอใจ “ศิษย์น้อง นั่นที่ของอาจารย์”
“ข้ารู้ ข้าก็กำลังคิดว่าจะใช้อภินิหารอย่างไรอยู่ไม่ใช่รึ แค่สลับตำแหน่งคิดตรึกตรองหน่อยเท่านั้น อีกอย่างจะใช้อภินิหารต้องใช้แรง ข้าไม่กินอิ่มนอนหลับดี จะมีแรงจากไหนใช้อภินิหารยิ่งใหญ่ขนาดนั้น” เด็กแดงพูด
กระรอกหอบหายใจแรงด้วยความโมโห “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น หืม? อาจารย์กลับมาแล้ว”
เด็กแดงได้ยินดังนั้นจึงรีบลงจากม้านั่ง กลับไปนั่งตำแหน่งเดิมของตน เพิ่งกลับมานั่งเด็กแดงก็ด่าตัวเองยกใหญ่ในใจ ‘ข้ามันโง่จริงๆ ตอนนี้ลาหัวล้านขอร้องข้า ข้าจะกลัวเขาทำไม?’ ในใจคิดแบบนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้ากลับไปนั่งที่เดิม
เห็นได้ชัดว่าการสั่งสอนจิตใจหลายครั้งทำให้เด็กแดงเกิดความยำเกรงฟางเจิ้งแล้ว ไม่ว่าในใจจะไม่ยอมอย่างไร แต่จากนิสัยเกิดความกลัวนิดๆ แล้ว
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่นั่งลงกินข้าวอย่างมั่นคง กินเสร็จวางตะเกียบ มองเด็กแดงแล้วเอ่ยขึ้น “จิ้งซิน นายคิดออกรึยัง?”
“ยัง อาจารย์ ถ้าไม่อย่างนั้นท่านคืนพลังข้าก่อนไหม ให้ข้าออกไปเดินเล่น ไม่แน่ว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้วอาจจะนึกอะไรออก” เด็กแดงตอบ
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้น จมูกแทบเบี้ยว เจ้านี่ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ! ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ มองเด็กแดงพลางพูดตอบ “ศิษย์ นายก็รู้นี้ว่าอาจารย์ใช้อิทธิวิถีได้เล็กน้อย เพียงแค่ยังใช้ไม่เสถียรอยู่บ้างเท่านั้น นายว่าถ้าเกิดจู่ๆ อาจารย์เรียกลมเรียกฝนได้ขึ้นมาจะทำยังไง? อย่างอื่นอาจารย์ไม่รู้หรอก แต่อาจารย์ต้องสวดมนต์เลยเถิดแน่ๆ สวดสามวันสามคืนไม่ใช่ปัญหาเลย”
“อาจารย์อย่าขู่ข้าเลย ถ้าท่านขู่ข้า สมองข้าจะใช้การไม่ดีกว่าเดิม คิดไม่ออกก็อย่าโทษศิษย์แล้วกัน” เด็กแดงไม่แน่ใจว่าฟางเจิ้งพูดจริงหรือไม่ แต่เขามั่นใจอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครเรียนอภินิหารขึ้นมาเฉยๆ ได้ ฟางเจิ้งไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่มีใครสอนเขา เขาต้องใช้ไม่ได้แน่ ฉะนั้นเด็กแดงเลยไม่กลัวแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเห็นสีหน้ารอยยิ้มฟางเจิ้งแล้ว เขารู้สึกหนาวในใจนิดๆ มักจะรู้สึกว่ามีอะไรหลุดรั่วออกไปเล็กน้อย อีกอย่าง ทำไมสีหน้าแบบนี้ถึงเหมือนกับสีหน้าตอนที่ให้เขากินหินเย็นวันนั้นเลย?
ฟางเจิ้งตบหัวเด็กแดงพลางว่า “เอาเถอะ ศิษย์ว่านอนสอนง่ายคิดดีๆ แล้วกัน คิดออกเมื่อไรอาจารย์จะคืนพลังให้ นายไปเรียกลมเรียกฝน ถ้าคิดไม่ออก ก็ค่อยๆ คิด…อาจารย์ก็จะคิดเหมือนกัน”
ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว เด็กแดงนี่ไม่หวั่นต่อสิ่งใด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่อยากจะใช้โอกาสนี้เอาพลังกลับคืน กระทั่งคิดจะหลุดพ้นจากวัดเอกดรรชนี จะไปขบคิด? ถ้าเด็กแดงไม่มีปัญหาด้านนิสัย ฟางเจิ้งจะไม่ถือสาเขา แต่ราชาปีศาจน้อยนี่ยังไม่ดับความคิดสังหาร ปล่อยออกไปเกรงว่าจะสร้างหายนะไม่น้อย ฟางเจิ้งไม่อยากแบกรับกรรมชั่วนั้นไว้…
…………………….