The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 316 อาสาสมัคร
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 316 อาสาสมัคร
เด็กแดงกล่าวเสียงต่ำ “ข้าว่าแล้วต้องเป็นอย่างนี้! น้ำมีเยอะ แต่ยังให้พวกเราดื่มน้ำห่วยๆ นั่น หึ ไม่ใช่คนดีจริงๆ”
“ศิษย์ เขาไม่ได้รู้จักกับนาย แต่ก็ยังให้ดื่มน้ำ นั่นคือบุญคุณ ไม่ให้นายดื่มน้ำก็เป็นหลักการทั่วไปของคน นายจะบ่นเขาแบบนั้นได้ยังไง?” ฟางเจิ้งต่อว่าเสียงเบา
เด็กแดงเบะปาก เขาไม่คิดอย่างนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ ข้าหิวน้ำจะตายอยู่แล้ว เขาไม่ให้ ข้าก็จะไปหาเอง” พูดจบก็หมุนตัววิ่งไปที่ห้องบ่อน้ำ
ฟางเจิ้งกำลังแอบฟังอยู่ข้างนอกบ้านคนอื่น จึงไม่ดีถ้าจะส่งเสียงดัง เลยได้แต่ตามไป หมายจะขวางเด็กแดง
เด็กแดงวิ่งเร็วมาก พรวดเดียวก็มุดเข้าไปในห้องบ่อน้ำ
ห้องบ่อน้ำเป็นห้องเดี่ยว ผนังหนายิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าเพื่อกันอุณหภูมิจากดวงตะวันเข้าไประเหยน้ำโดยเฉพาะ
ฟางเจิ้งผลักประตูเข้าไปก็เห็นเด็กแดงยืนตะลึงงันอยู่ มองตามสายตาเด็กแดงไป เห็นเพียงว่าในห้องบ่อน้ำมีความลี้ลับ ตรงกลางว่างเปล่า รอบๆ เป็นหลังคาบ้านเอียง ตรงกลางมีบ่อกักน้ำ ในบ่อกักน้ำมีฝาใหญ่ครอบอยู่ ตอนนี้ฝาถูกเปิดออกแล้ว เผยน้ำข้างล่าง…พูดให้ถูกคือเป็นบ่อซีเมนต์ที่ชื้นเล็กน้อย!
เด็กแดงหมุนตัวกลับมามองฟางเจิ้งด้วยความฉงนเล็กน้อย “อาจารย์ พวกเขาเอาน้ำไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “อยู่ที่นี่หมดแล้ว…”
เห็นที่นี่ฟางเจิ้งก็เข้าใจรากฐานแล้ว หมู่บ้านนี้ไม่ได้ขาดน้ำธรรมดา แต่ขาดน้ำมาก! หลักๆ พวกเขาหาน้ำมาจากฝนตกบนฟ้า แต่ที่บ้าแบบนี้กว่าจะฝนตกครั้งหน้าต้องอีกนานเท่าไร? เห็นได้ว่านี่เป็นปัญหา ห้องนี่ก็ใช้เพื่อประหยัดน้ำและเก็บน้ำ
ด้านข้างวางถุงใบหนึ่ง นั่นคือแป้งใช้ฆ่าเชื้อ ก่อนหน้านี้น้ำดื่มมีรสชาติแปลก อาจจะเป็นรสชาติของแป้งนี่
เด็กแดงเบะปาก ไม่ส่งเสียงใด อีกฝ่ายไม่มีน้ำแต่ก็ยังเอาน้ำมาให้เขาชามใหญ่ เขากลับบ้วนทิ้ง แถมยังบ่นต่างๆ นาๆ ตอนนี้…
ฟางเจิ้งตบหัวเด็กแดงก่อนเดินออกจากห้องน้ำ กลับไปในห้องของตัวเอง
ไม่นานผู้ใหญ่บ้านเหลยวิ่งมาเรียกสองคนไปกินข้าว ทำอาหารเป็นถั่วและหัวผักกาด ในกับข้าวก็มีรสชาติของแป้งฆ่าเชื้ออย่างชัดเจน รสชาติแย่มาก ข้าวก็ห่างชั้นกับข้าวผลึกวัดเอกดรรชนีมาก…ทว่าฟางเจิ้งก็ยังกินข้าวสองชามใหญ่
กลับไปในห้อง เด็กแดงมองหมิ่นฟางเจิ้ง “เขาไม่มีน้ำแล้ว ท่านยังมีใจกินเยอะขนาดนั้นอีกหรือ?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “เขาต้อนรับอย่างเป็นมิตร ถ้ากินคำเดียวแล้วไม่กินอีก นั่นเป็นการบอกว่าเขาทำไม่อร่อยรึเปล่า? นั่นต่างหากที่เรียกว่าเสียมารยาท”
เด็กแดงหันหน้าหนี “ไม่ว่าอย่างไรท่านก็มักมีเหตุผลเสมอ”
สองคนกำลังคุยกันพลันได้ยินเสียงวุ่นวายมาจากข้างนอก คนจำนวนมากกำลังหัวเราะราวกับปีใหม่ ผู้ใหญ่บ้านเหลยวิ่งออกไป ใบหน้าแขวนด้วยรอยยิ้ม
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงมองตากันแวบหนึ่งแล้วตามออกไปทันที
เห็นมีรถม้าสองคันจอดปากทางเข้าหมู่บ้าน บนรถม้าบรรทุกกล่องใหญ่จำนวนมาก ด้านบนคลุมด้วยผ้าหนา รถม้าในนั้นเปิดผ้าออกแล้ว เห็นว่าด้านบนเป็นน้ำแร่
ชายหญิงที่แต่งกายดูดีอย่างชัดเจนกลุ่มหนึ่งยืนพูดยิ้มๆ กับพวกชาวบ้านตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ผู้หญิงสวมกางเกงยีน คลุมผ้าโปร่งบางบนหัวคนหนึ่งยังกอดหู่จื่อถ่ายเซลฟี่ หู่จื่อทำหน้าตื่นเต้น แต่ก็ยิ้มเบิกบานใจมาก ดูก็รู้ว่ามือถือเป็นของใหม่สำหรับเขา และก็ชอบถ่ายรูปด้วย
ชายร่างกายกำยำใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อ ผู้ใหญ่บ้านเหลยตรงเข้ามา สองคนพลันกอดกัน ก่อนหัวเราะเสียงดังพูดอะไรบางอย่าง
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงเข้าไปใกล้ เห็นต้าเฉิงจื่อจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นทันที
ต้าเฉิงจื่อพูดยิ้มๆ “พวกคุณอากับพี่สาวมาส่งน้ำให้พวกเรา เหอะๆ…ได้ดื่มน้ำสะอาดอีกแล้ว ฮ่าๆ…”
ฟางเจิ้งตะลึงงัน ไม่นึกเลยว่าที่พวกชาวบ้านดีใจราวกับฉลองปีใหม่เป็นเพียงเพราะได้ดื่มน้ำสะอาด! พอนึกถึงชีวิตของตน เทียบกับพวกเขาแล้วถือว่าเป็นแดนสุขาวดีเขาคุนหลุน เขายังต้องบ่นอะไรอีก?
ฟางเจิ้งถามต่ออีกหลายประโยคถึงรู้ว่าหมู่บ้านไต้หลี่ขาดแคลนน้ำอย่างหนักในช่วงหลายปีมานี้ อีกทั้งยิ่งขาดแคลนขึ้นเรื่อยๆ เพราะขาดน้ำ พวกวัยรุ่นจึงออกไปรับจ้างเพื่อมีชีวิตรอดข้างนอก ทิ้งคนชราและเด็กเฝ้าบ้านกลุ่มหนึ่งให้ใช้ชีวิตยากลำบากที่นี่ คนชราเหล่านี้ไม่มีแรงย้ายออกไป และก็ไม่มีความสามารถจะออกไปอยู่รอด ประกอบกับความผูกพันที่มั่นคง การจะให้พวกเขาจากบ้านเกิดไปแทบจะเป็นไปไม่ได้
ไม่มีน้ำ ผู้คนก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาก หวังว่าพระเจ้าจะให้ฝนตก เมื่อก่อนยังพอไหว แต่สองปีมานี้ฝนตกน้อยลงขึ้นทุกปี จนปีนี้คนชราในหมู่บ้านแทบจะกระหายน้ำตายอยู่แล้ว ผู้ใหญ่บ้านเหลยขอร้องไปทั่ว รัฐบาลถึงจัดคนให้มาหาน้ำบาดาลที่นี่หมายจะขุดบ่อ แต่ช่วยไม่ได้ น้ำบาดาลที่นี่แห้งไปนานแล้วจึงไม่มีที่ทำบ่อ รัฐบาลเลยได้แต่รวมคนให้ขนย้ายน้ำมาที่นี่ ทว่ารถยนต์เข้ามาในเส้นทางภูเขาไม่ได้ ได้แต่ใช้ม้าลากและคนแบก ทว่านี่ไม่ใช่แผนระยะยาว ดังนั้นจึงเริ่มขอความช่วยเหลือจากสังคม
หลังจากทุกคนรู้ถึงสถานการณ์ของหมู่บ้านไต้หลี่แล้ว มีคนใจดีในสังคมไม่น้อยรวมเป็นกลุ่มเล็ก มีคนใช้ม้าลากน้ำขึ้นเขาลงห้วยมาที่หมู่บ้านทุกวัน
และกลุ่มนี้ตรงหน้าก็เป็นหนึ่งกลุ่มในนั้น แถมยังเป็นกลุ่มเดียวที่ยังยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาส่งน้ำมาตลอดครึ่งปี ปกติวันถึงสองวันจะมาส่งน้ำทีหนึ่ง ทุกวันเสาร์คนมากพอก็จะส่งรถมา แถมยังให้ลูกกวาด กระเป๋าหนังสือ เสื้อผ้าใหม่กับพวกเด็กๆ พูดได้ว่าพวกเขาเป็นแขกที่พวกชาวบ้านให้การต้อนรับมากที่สุด และก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
ฟางเจิ้งมองคนเหล่านี้ตรงหน้าพลางเกิดความเคารพอย่างสุดซึ้ง มักจะมีคนจำนวนหนึ่งไม่สนชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่จะยอมจ่ายเพียงเพื่อความเมตตาและเพื่อคนอื่นเงียบๆ ไม่ขอของตอบแทน คนแบบนี้มีเยอะมาก แต่มีน้อยมากที่ได้ขึ้นหน้าแรกหนังสือพิมพ์ ทว่าเพราะมีคนกลุ่มแบบนี้อยู่โลกนี้ถึงได้งดงามมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เด็กแดงกลับมองค้อน “อาจารย์ พวกโง่เยอะจริงๆ”
ป้าบ!
ฟางเจิ้งตบหัวเด็กแดงไปทีหนึ่ง ยังไม่ทันสั่งสอนก็ได้ยินเสียงตำหนิน่ารักๆ “หยุดเดี๋ยวนี้ ทำไมคุณถึงตีเด็ก?”
ระหว่างพูดอยู่นี้ ผู้หญิงสวมเสื้อผ้าสีชมพู กางเกงขายาวสีเหลืองดินอุ้มเด็กแดงขึ้นมา ถลึงตามองฟางเจิ้งราวกับหลอดไฟ ฟางเจิ้งตรึกตรอง นี่ถ้าหาสวิตช์สักอัน จะต้องเป็นหลอดไฟใหญ่แปดสิบวัตต์! ดวงตาสว่างมาก!
ผิวผู้หญิงคนนี้ออกสีแทนเล็กน้อย ในความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกลับมีความปราดเปรียวหลายส่วน พูดไม่ได้ว่าสวยแค่ไหน แต่เป็นแม่แบบที่มีความอดทน
ผู้หญิงคนนั้นตะคอก คนจากขบวนรถจึงมองมา กลุ่มคนอึ้งงัน ในหมู่บ้านที่มีแต่ดินแบบนี้มีหลวงจีนขาวสะอาดแบบนี้ด้วย ดูเด่นตาเกินไป โดยเฉพาะผู้หญิงที่อุ้มเด็กแดงยังมองฟางเจิ้งราวกับตัวประหลาด ผิวหลวงจีนนี่ดีกว่าเธออีก! วินาทีนั้นในความคิดเธอเต็มไปด้วยข้อมูลนับไม่ถ้วน สวมเสื้อผ้าสะอาดแบบนี้ได้ ดูแลผิวดีขนาดนี้ได้ หลวงจีนนี่จะต้องไม่ใช่หลวงจีนของจริงแน่! อย่างน้อยก็ไม่ใช่นักบวชบำเพ็ญตบะ แต่เป็นพวกมีรสนิยมสูงมาก…แถมยังตีเด็ก โหดร้ายมาก ไม่ใช่หลวงจีนปลอมก็ไม่ต่างกัน อย่างน้อยก็ไม่ใช่พระอาจารย์เต๋าที่หนักเอาเบาสู้แบบนั้น
……………………