The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 348 เลวและไร้คุณธรรม
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 348 เลวและไร้คุณธรรม
“ศิษย์ก็รู้ หมูป่าเป็นภัยต่อชาวบ้านไม่น้อย ทุกคนเลยเข้าป่าไปล่าหมูป่า พวกชาวบ้านต่างปิดตาข้างเดียว แต่คนที่เอาปืนเข้าป่าไม่เหมือนกัน นี่มันผิดกฎหมายแล้ว” ฟางเจิ้งตอบ
พอเด็กแดงได้ยินว่าปืนประดิษฐ์ก็คือปืน นัยน์ตาเขาขยับประกายวาว “ข้าเคยเห็นปืนในมือถือ แต่ไม่เคยสัมผัส…ปืนประดิษฐ์ร้ายกาจมากหรือ?”
“ยิงนกอะไรพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา” ฟางเจิ้งตอบ
เด็กแดงพลันมองค้อน “นั่นไม่ใช่กระบองก่อไฟหรอกรึ?”
“แต่ในระยะใกล้ กระสุนเหล็กหรือลูกปืนก็ยังมีอานุภาพมาก จะให้พวกเขาถือปืนเพ่นพ่านในป่าเขาไม่ได้ มันอันตรายเกินไป” ฟางเจิ้งพูดจบก็ตบๆ หัวหมูป่าพลางว่า “นายบาดเจ็บจากที่ไหน?”
หมูป่าพลันมองไปทางขวา ฟางเจิ้งพยักหน้าให้ “ตอนนี้ถ้าให้นายพากลับไป จะพาไปถูกไหม?”
หมูป่ารีบพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าอีก “คนพวกนี้มีของอย่างหนึ่ง ทำให้พวกหมูตกใจมาก”
ฟางเจิ้งพูด “ไม่เป็นไร มีพวกเราอยู่ไม่เป็นไรหรอก พาพวกเราไปเถอะ”
ตอนนี้เอง เจ้ากระรอกโผล่หัวมาจากในอกเสื้อฟางเจิ้ง บอกว่า “อาจารย์ ทางนั้น พวกเขามีตะบองสีดำยาวมาก ร้ายกาจมากด้วย”
ฟางเจิ้งพูดเบาๆ “ร้ายกาจกว่านี้จะร้ายกว่าศิษย์น้องนายได้เหรอ ร้ายกว่าอาจารย์นายได้เหรอ?”
เจ้าตัวน้อยคาดการณ์อยู่สักครู่ จากนั้นโบกหมัดบอก “ต่อยพวกเขา! พวกเขาเลวมากเกินไป! ศิษย์น้องสี่ ซัดพวกเขาเลย!”
ฟางเจิ้งโขกหัวเจ้าตัวเล็กไปทีหนึ่ง มันเจ็บจนหดหัวกลับไปทันที ไม่กล้าร้องตะโกนอีก
ขณะเดียวกัน ห้าคนที่กำลังเดินหน้าเข้าไปในป่าเขาเดินห่างออกไปไกลเรื่อยๆ ป่าไม้แน่นขนัดมากขึ้น หนุ่มวัยรุ่นที่มากับหลินจื่อถามอย่างกังวลเล็กน้อย “พี่หลิน นี่ป่าลึกแล้วใช่ไหม จะมีหมีรึเปล่า”
“หมีกับป้าแกสิ ที่นี่แค่รอบนอกภูเขาทงเทียน เพียงแต่ที่นี่รักษาสภาพแวดล้อมไว้ดีก็เท่านั้น เลยให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าลึก ป่าลึกจริงๆ น่ะ ต่อให้เป็นฉันก็ยังไม่กล้าเข้าไปเลย ส่วนหมี…ถ้าเจอจริงๆ ห้ามใครส่งเสียง จะต้องฟังคำสั่งฉันทุกอย่างรู้ไหม? หลินเหล่ย ถ้าแกกลัวก็กลับไปก่อน” เหล่าเหลียงทำเสียงหึๆ
หลินเหล่ยได้ยินแบบนั้นพลันหน้าแดง รีบร้องโวยว่า “ใครกลัว? ผมแค่ถามดูหรอก…”
“มีแต่คนบอกว่าในป่าเขาหมูป่าร้ายกว่าหมี พวกเราเอาชนะหมูป่ามาแล้ว ยังจะกลัวหมีอีกเหรอ?” หลินอิ๋งที่พูดน้อยมากถามด้วยความประหลาดใจ
“ที่เราเจอก่อนหน้านี้แค่หมูป่าหนักสองร้อยกว่าชั่ง ยังไม่นับว่าเป็นหมูป่าตัวใหญ่ อีกอย่างหมูป่าไม่รู้เรื่องอะไรหรอก มันไม่ค่อยอยากสู้กับเรา พอเจอหน้าก็วิ่งหนีแล้ว พูดจริงๆ นะ หลายปีมานี้ฉันไม่เคยเจอหมูหายากแบบนั้นเลย…หมูป่าที่เจอเมื่อก่อนต่างก้มหน้าพุ่งเข้ามา ดุร้ายมาก” เหล่าเหลียงกล่าว
ผู้ชายคนสุดท้ายเป็นชายหน้าเหลี่ยมที่เงียบพูดน้อย เขาแบกธนูคอมพาวน์ดคันหนึ่ง ตรงขามัดมีดสองคมไว้หนึ่งเล่ม ดูโหดร้ายอยู่นิดๆ
หลินจื่อพลันพูดกับผู้ชายคนนี้ “มีพี่เซี่ยอยู่ นายจะกลัวอะไร! ถ้ามีหมีจริงๆ เย็นนี้พวกเราจะกินอุ้งตีนหมี หนังหมีก็เอาไปขายได้ราคาดีด้วย”
พอได้ยินหลินจื่อพูดอย่างมั่นใจเต็มสิบ เด็กหนุ่มหลินเหล่ยก็เชื่อใจ กระทั่งกระตือรือร้นอยากลองบ้าง
เหล่าเหลียงชำเลืองมองเซี่ยเหมิ่งทีหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยาม ในใจคิดอะไร เดาว่าคงมีแต่เขาที่รู้แน่ชัด
ขณะกำลังเดินอยู่นี้ เซี่ยเหมิ่งพลันเอ่ยขึ้น “ข้างหน้ามีเสียงน้ำ”
เหล่าเหลียงกลับตอบโดยไม่คิดอย่างนั้น “ข้างหน้ามีน้ำตกเล็ก มีน้ำไม่มาก แต่ตรงนั้นเป็นจุดที่สัตว์ชอบมารวมตัวกันจริงๆ ไปเถอะ หวังว่าเราจะดวงดีได้เจออะไรสนุกๆ”
หลินจื่อว่า “เหล่าเหลียงสมกับเป็นแผนที่ที่มีชีวิตเลย เก่งมาก”
เหล่าเหลียงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เขาชอบความรู้สึกแบบนี้ ถ้าไปเมือง เขาจะเป็นคนที่เชยที่สุด แต่ถ้าอยู่ในภูเขาใหญ่ เขาคือราชา! ไม่ว่าคุณมีฐานะอะไร มีภูมิหลังอะไร ถ้าไม่มีเขาก็ลำบาก จะพูดอะไรกับเขาก็ต้องระวังหน่อย
เห็นดังนั้น หลินจื่อก็ยิ้มๆ เช่นกัน ทว่าในใจคิดอย่างไรก็มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้
ตอนนี้เอง สุนัขล่าเนื้อสองตัวพลันคำรามเสียงต่ำ มีร่างสีเทาร่างหนึ่งวูบผ่านอยู่ไกลๆ เหล่าเหลียงยิ้มเอ่ย “มื้อกลางวันมาแล้ว ไป ไปจับมา!”
ระหว่างพูดอยู่นี้ สุนัขล่าเนื้อสองตัวพุ่งออกไป ไม่นานก็คาบกระต่ายป่าตัวหนึ่งวิ่งกลับมา
เห็นได้ชัดว่าหลินเหล่ยเพิ่งเคยเห็นการล่าสัตว์เป็นครั้งแรก ดูตื่นตามาก มองกระต่ายป่าในปากสุนัขล่าเนื้อพลางกล่าวว่า “น่าเสียดายที่มันตายแล้ว”
“ยังไม่ตาย” เหล่าเหลียงเอ่ยจบก็เดินเข้าไป คว้าหูกระต่ายไว้ ทุกคนเข้ามาดูใกล้ๆ เป็นอย่างที่คิดไว้ กระต่ายไม่ได้รับบาดเจ็บ ยังคงมีชีวิตอยู่
“เหล่าเหลียง หมานายโคตรเก่งเลย!” หลินจื่อพูดอย่างตกใจ เขาเคยเห็นสุนัขล่าเนื้อมาไม่น้อย สุนัขล่าเนื้อส่วนใหญ่พุ่งเข้าไปแล้วจะฟัดเหยื่อจนตายค่อยเอากลับมา แต่หมาของเหล่าเหลียงรู้วิธีการจับเป็น!
เซี่ยเหมิ่งพูดเช่นกันว่า “ไม่เลวจริง ทั้งที่เป็นแค่หมาบ้านสองตัว”
“แต่ต่อให้นายมีหมาพันธุ์ธิเบตันมาสทิฟฟ์สองตัว ก็คงสอนให้เป็นหมาดีเชื่อฟังแบบนี้ไม่ได้หรอก” เหล่าเหลียงตอกกลับโดยพลัน สุนัขสองตัวนี้เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของเขา ยอมให้คนอื่นมาว่าพวกมันไม่ดีไม่ได้
เซี่ยเหมิ่งก็ไม่คิดจะเถียงกลับ แต่เอ่ยต่อว่า “ทางนั้นเหมือนจะมีการเคลื่อนไหว หมานายมองทางนั้นตลอดเลย”
“ไปเถอะ น่าจะมีลูกกระต่ายสักรัง” เหล่าเหลียงเข้าใจสุนัขของตัวเองที่สุด
“เหล่าเหลียง พูดแบบนี้แสดงว่านี่คือแม่กระต่าย? ถ้าพวกเราจับมันแล้ว ลูกกระต่ายจะทำยังไง” หลินอิ๋งอดถามไม่ได้
“ดูว่าตัวใหญ่แค่ไหน ถ้าใหญ่พอจะจับกลับไปกิน ถ้าเล็กเกินไปก็เอาเลี้ยงหมา” เหล่าเหลียงตอบอย่างไม่เห็นด้วย
หลินอิ๋งขมวดคิ้วขึ้น บอกว่า “นี่…มันไม่ค่อยจะดีมั้ง”
“มีอะไรไม่ดี ในป่าเขาฉันคือราชา ฉันอยากกินอะไรต้องได้กิน!” เหล่าเหลียงพูดอย่างโอหัง
เซี่ยเหมิ่งเอ่ย “สัตว์ล้วนต่อสู้กันเอง ผู้เหมาะจะมีชีวิตจะถูกเลือกให้อยู่ แต่ก็ปล่อยสัตว์ในช่วงให้นมไปเถอะ นายทำแบบนี้มันจะสูญพันธุ์เอาได้”
เหล่าเหลียงโต้ตอบอย่างไม่พอใจ “หลินจื่อ ฉันเห็นแก่ที่นายเป็นแขกเก่าแก่นะ ถึงมาร่วมงานด้วย ถ้าเพื่อนนายเป็นแบบนี้ พวกเราคงไปต่อกันไม่ได้”
หลินจื่อรีบดึงเซี่ยเหมิ่งกับหลินอิ๋งไว้ “เหล่าเซี่ย น้องพี่ พูดให้น้อยๆ หน่อย ที่นี่เป็นกลางภูเขา ก็ต้องมีกระต่ายชนิดนี้อยู่แล้ว ทำไมต้องหมดสนุกเพราะกระต่ายรังเดียวด้วย เหล่าเหลียง นายอย่าสนใจเลย พวกเราไปต่อกันเถอะ”
เหล่าเหลียงเห็นหลินจื่อพูดแบบนี้ สีหน้าถึงดีขึ้นมาไม่น้อย เดินตามสุนัขไป ไม่นานก็ได้ยินเหล่าเหลียงตะโกนว่า “รังลูกกระต่าย ไม่มีเนื้อ ให้หมากิน!”
จากนั้นจึงได้ยินเสียงเห่าของสุนัขระลอกหนึ่ง…
หลินอิ๋งปิดหน้าหมุนตัวไป ขณะเดียวกันยังพูดด้วยความโกรธอยู่บ้าง “พี่ นี่มันโหดร้ายไปรึเปล่า พี่ไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ”
หลินจื่อฝืนยิ้ม “เธอคิดว่าให้เงินเขาห้าร้อยหยวนแล้วจะเป็นเถ้าแก่เขาจริงๆ เหรอ ไอ้บ้านี่นิสัยแปลกๆ พี่จะกินข้าวยังต้องพึ่งพาเขาเลย บนเขายังมีนายพรานลักลอบล่าสัตว์ไม่น้อย แต่พวกนั้นเป็นนายพรานที่ยึดวิถีเก่า ไม่ขึ้นเขาในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ล่าสัตว์เกินสามตัว มีกฎเป็นกอง ทุกปีจะรับคนล่าน้อยมาก มีแค่เหล่าเหลียงที่ไม่สนใจอะไรเลย ธุรกิจส่วนใหญ่ของครอบครัวเราก็มาจากเขา เขาถึงได้เป็นเทพแห่งโชคลาภไงล่ะ…ครั้งนี้พาพวกเธอมาด้วยจะได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นโลกก็เท่านั้น เอาเถอะ คราวหลังอย่าไปเถียงเขา แค่ดูก็พอ”