The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 367 วัยหนุ่มสาว
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 367 วัยหนุ่มสาว
ทว่าหมาป่าเดียวดายเติบโตในภูเขาใหญ่มาตั้งแต่เล็ก ต่อให้ติดตามฟางเจิ้งก็ขยายพื้นที่ใช้ชีวิตไปถึงในหมู่บ้านเท่านั้น สิ่งที่เคยเห็นมีขีดจำกัด อย่างน้อยมันก็ไม่เคยเห็นสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่นตึกสูงและรถบัสคันใหญ่
ฟางเจิ้งมองหมาป่าเดียวดายที่อ้าปากกว้างมองไปรอบๆ ทีหนึ่ง ส่ายหน้าเบาๆ รู้ว่าเจ้านี่คงช่วยอะไรไม่ได้ ตนเลยคิดหาวิธีเอง
ขณะนี้เอง เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล เด็กหนุ่มที่นำหน้าสวมเสื้อเชิ้ตย้อมสีดำ อุ้มลูกบาสวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้างหลังมีเด็กหนุ่มสาวสิบกว่าคนวิ่งตามมา วิ่งไปพลางมีคนพูดไปพลาง
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ฟางเจิ้งเลยได้ยินชัดเจนด้วย
“หวังคุน นายวิ่งเร็วขนาดนั้นทำไม เก็บแรงไว้หน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวจะแข่งแล้วนะ!” เด็กหญิงไว้ผมเปียหางม้าคนหนึ่งตะเบ็งเสียง
“ฉันต้องใช้แรงแข่งกับพวกขยะห้องสามด้วยเหรอ? ฮ่าๆ…” เด็กหนุ่มสวมเสื้อดำตะโกนอย่างอวดดี
“เฮ้ย หวังคุน อย่าทำเก่งนักเลย อวดเก่งจะโดนฟ้าผ่าเอา! คอยดูเถอะ อีกเดี๋ยวแข่งแล้วจะได้เห็นดีกัน! จะปิดให้นายยิงไม่ลงเลย!” เด็กหนุ่มตัวใหญ่สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบกว่าตะโกนด่า
“เฉินเหว่ย ไอ้ขยะนี่! จะปิดฉันเหรอ มีดีอะไรก็โชว์มาให้หมด ฉันจะให้นายเข้าใจว่าขายาวๆ ของนายน่ะ นอกจากยาวแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร!” ถึงหวังคุนจะสูงหนึ่งร้อยแปดสิบ แต่กลับไม่กลัวเด็กตัวใหญ่สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบกว่า ไม่แสดงอาการอ่อนข้อแม้แต่น้อย
เด็กสาวผูกเปียหางม้าพูดตาม “เฉินเหว่ย นายอย่าลำพองใจนักเลย ไม่รู้ว่าใครนะที่จะโดนบล็อกสแลมดังก์[1]”
สิ้นเสียง เฉินเหว่ยหน้าแดง การแข่งครั้งก่อนเขาถูกหวังคุนบล็อก เขามองว่านั่นคือความอัปยศชั่วชีวิต เพราะเรื่องนี้เองเขาเลยขัดแย้งกับหวังคุน ทั้งยังมีการแข่งขันที่นัดกันไว้ในครั้งนี้ อยากจะเอาคืนและกู้หน้ากลับมา ฉะนั้นแล้วเขาเลยไปป่าวประกาศไม่น้อย แถมยังเชิญผู้ชมสาวๆ มาอีกหลายคน…
ตอนนี้ได้ยินเด็กสาวเปียหางม้าพูดแบบนี้ เฉินเหว่ยรู้สึกเขินและละอายใจเล็กน้อย แต่ก็ยังทำหน้าหนาตอบ “อวี๋เจีย ครั้งก่อนฉันประมาท ขนาดกวนเอ้อเกอ[2]ยังประมาทเสียจิงโจวเลย นับประสาอะไรกับฉัน? ครั้งนี้ฉันจะให้เธอได้รู้ถึงพลังของลูกผู้ชาย!”
“เอาเถอะ มีดีอะไรก็มาโชว์ในสนาม อยู่ข้างนอกโม้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนถูกตบหน้ามีแต่จะเจ็บกว่าเดิม” เด็กสาวไว้ผมทรงสบายๆ พูดขึ้น
ทุกคนคิดว่ามีเหตุผลเลยไม่เถียง ทว่าความมุ่งมั่นในการประชันกันของสองทีมกลับรุนแรงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่มองอีกฝ่ายเหมือนจะกินกันแล้ว แต่พวกนักเรียนหญิงสองสามคนดูตื่นเต้นเล็กน้อย เห็นชัดว่าเฝ้ารอการแข่งขันอันดุเดือดนี้มาก
กลุ่มคนวิ่งมาทางฟางเจิ้ง เมื่อเห็นตรงปากประตูเขตชุมชนเล็กมีหลวงจีนรูปหนึ่งกับสุนัขยักษ์ขนสีขาวเงินตัวหนึ่ง นัยน์ตานักเรียนชายขยับประกายชื่นชม ผู้ชายต่างชอบสุนัขตัวใหญ่ แบบนั้นจะยิ่งเสริมความเป็นผู้ชาย ทำให้ดูหล่อเท่
ส่วนพวกเด็กสาวตกใจและแปลกใจเล็กน้อย เมื่อการฝึกพระธรรมของฟางเจิ้งสูงขึ้นเรื่อยๆ เอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ก็สูงส่งขึ้นทุกที เช่นเดียวกัน จีวรขาวคู่กับผิวขาวสะอาดและหัวโล้น ยืนอยู่ตรงนั้นให้ความรู้สึกสะอาดใสแวววาวราวกับผลึกน้ำแข็ง ประหนึ่งน้ำแร่ในช่วงฤดูร้อน สดชื่นและสบายอย่างยิ่ง พวกเด็กสาวมองฟางเจิ้งแล้วก็ต้องมองอีกสองทีโดยไม่รู้ตัว ตกใจในบุคลิกและใบหน้าของเขา สิ่งแรกที่พวกเธอคิดคือ หลวงจีนหล่อได้ขนาดนี้เลยหรือ!
พวกเธอล้วนเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม ในใจยากจะไม่เกิดคลื่นกระเพื่อมนิดๆ อดมองฟางเจิ้งอีกหลายครั้งไม่ได้
แต่หมาป่าเดียวดายดูเด่นตายิ่งกว่า ดึงดูดสายตาคน แม้พวกเด็กสาวจะรู้สึกว่าหมาป่าเดียวดายสูงใหญ่น่าเกรงขาม ทว่าก็ได้แต่เสริมความไม่ธรรมดาของเจ้าของเท่านั้น ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความยำเกรง พวกเด็กสาวอ้อมหมาป่าเดียวดายไปตามจิตใต้สำนึก ไม่กล้าเข้าใกล้
แต่พวกเด็กหนุ่มเดินผ่านข้างหมาป่าเดียวดายเพื่อแสดงความกล้าหาญของตนให้เด่นชัด ทว่าฟางเจิ้งพบว่าตอนที่พวกเด็กหนุ่มวิ่งผ่าน ในแววตามีประกายวาววับซ่อนไว้ เห็นได้ว่าคงจะกลัว แต่ก็ยังฝืนเพื่อรักษาหน้า…
ฟางเจิ้งปลงอนิจจังอย่างยิ่งในใจกับเรื่องนี้ เพราะแต่ก่อนเขาก็เคยทำเรื่องคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กสาว เด็กหนุ่มเหมือนจะไม่มีทางมีศัตรูที่เอาชนะไม่ได้ แม้จะถูกต่อยจนจมูกเขียวหน้าบวมก็ยังสร้างผลงานครั้งใหญ่ จากนั้นวิ่งกลับไปคุยโม้ถึงความกล้าหาญของตน จนกระทั่งออกจากโรงเรียน ฟางเจิ้งถึงรู้ว่าพวกผู้หญิงมองการกระทำแบบนั้นไปอีกแบบจริงๆ เมื่อก่อนมองด้วยสายตาที่มองคนปกติ แต่จากนั้นมาก็มองด้วยสายตาคล้ายมองคนโง่…
แต่วัยรุ่นก็แบบนี้ เคยแสร้งทำเก่ง เคยโง่ เดินบนเส้นทางไม่ว่าถูกหรือผิด สุดท้ายทั้งหมดจะกลายเป็นช่วงเวลาและความทรงจำงดงามช่วงหนึ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เขางดงามเพราะวัยหนุ่มสาว และลืมยากเพราะเหลาะแหละไม่รู้จักความทุกข์ เมื่อก้าวเข้าสู่สังคม จะมีสักกี่คนที่ไม่สวมหน้ากากและใช้ชีวิตต่อไปแบบสบายๆ เหมือนตอนวัยรุ่น? วัยหนุ่มสาวที่มีซ้ำอีกไม่ได้ย่อมกลายเป็นความทรงจำซึ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
ฟางเจิ้งมองเด็กหนุ่มสาวที่มีชีวิตชีวาวิ่งผ่านไป เกิดความอิจฉาอย่างยิ่งในใจ ถ้าไม่หัวโล้น ไม่ได้สวมจีวร เขาก็น่าจะไปเตร็ดเตร่ข้างนอกเหมือนกัน…ถึงจะไปแบบยากจนก็เถอะ…
“อาจารย์ ตอนนี้เราจะไปไหนกัน” หมาป่าเดียวดายรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว เงยหน้าถาม
ฟางเจิ้งมองไปรอบๆ ตัวเองก็สับสนนิดๆ เหมือนกัน จะไปไหน? เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าตอนนี้ควรจะไปไหน!
ตอนนี้เองเกิดเสียงดังตุ้บ ดึงดูดให้ฟางเจิ้งหันไปมอง เห็นหวังคุนตบลูกบอลลงพื้นก่อนคว้าเอาไว้ในมืออย่างสบายๆ จากนั้นหมุนตัวกลับมาหัวเราะเสียงดัง “ฉันรู้สึกว่าพลังในตัวฉันกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว เข้ามา ให้ฉันทารุณพวกนายเถอะ! ฮ่าๆ…”
ผลคือได้กลับมาเป็นคำพูดรัวๆ “ไอ้ห่า! จะเล่นงานแกให้ตาย!”
“อย่าทำเป็นเก่งนักเลย เย็นวันนี้ฉันจะระเบิดรูก้นแก!”
“มีรูก้นเป็นพันเป็นหมื่น แต่รักรูของแกคนเดียวหวะ รอก่อนเถอะ!”
พวกเด็กหนุ่มข้างเฉินเหว่ยต่างตะโกนเสียงดัง มีความมุ่งมั่นในการประชันเต็มสิบ
ฟางเจิ้งไม่สนใจเรื่องนี้ แต่จ้องลูกบาสนั่นเขม็ง เสียงลูกบาสกระทบพื้นคล้ายกับเสียงที่เขาได้ยินตอนเดินผ่านประตูไร้ลักษณ์มาก! หรือว่าภารกิจครั้งนี้จะเกี่ยวกับเด็กหนุ่มพวกนี้?
นึกถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งพลันเปิดเนตรสวรรค์มองไปทีละคน แต่ก็ต้องผิดหวัง เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่มีใครทำให้เนตรสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลย เปิดเนตรปัญญาอีกก็เป็นแบบเดิม เด็กหนุ่มสาวพวกนี้มีแสงสีทองมากกว่าแสงสีดำ แสงทองมากกว่าคนปกติเล็กน้อยด้วยซ้ำ และก็มีแค่นี้เท่านั้น ฟางเจิ้งมองไม่ออกจริงๆ ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจ
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเบาะแสมากกว่านี้แล้ว ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งถึงตามเข้าไป
กลุ่มหวังคุนและเฉินเหว่ยเข้าเขตเล็ก เลี้ยวสองสามครั้งจนมาถึงสนามบาสเปิดของเขต สนามบาสเก่านิดหน่อย เส้นบนพื้นเกือบจะมองเห็นไม่ชัดแล้ว ห่วงบาสก็ขึ้นสนิมเป็นจุดๆ ตาข่ายห่วงบาสขาดจนเหลือเพียงเชือกไม่กี่เส้นที่ห้อยอยู่และแกว่งไปตามลม
ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบถึงความกระตือรือร้นในการแข่งขันของสองทีม ราวกับว่าสนามบาสตรงหน้าไม่ทรุดโทรม แต่เป็นเหมือนสนามบาสระดับสุดยอดอย่าง NBA! แต่ละคนเลือดร้อนระอุ ประหนึ่งว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดสงครามแห่งศตวรรษขึ้น
…………………………………..…………….
[1] สแลมดังก์ คือการยัดลูกบาสด้วยสองมือใส่ห่วง
[2] กวนเก้อโกว ชื่อเรียกอีกชื่อของเทพเจ้าสงครามกวนอู