The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 369 ขมขื่น
“ผิดกฎหมายไหมไม่รู้ แต่ที่นี่คือเขตชุมชนของพวกเรา ไม่ใช่ของพวกนาย พวกนายเป็นคนเขตเล็กเรารึเปล่า? ตอนนี้รีบไสหัวไปซะ ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าฉันไปพาผู้ดูแลเขตมาไล่!” ผู้ชายพูดคนนั้นด้วยสีหน้าโมโห
“คุณอา พวกเราแค่เล่นบาสกันเอง ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้มั้ง อย่างมากพวกเราก็ไม่ตะโกนแล้วตกลงไหม?” เฉินเหว่ยกล่าว
“ฉันบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ ตอนนี้! เดี๋ยวนี้เลย! ออกไป! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไปร้องเรียนที่โรงเรียนพวกนาย!” ท่าทีของผู้ชายคนนั้นแข็งกร้าวมาก
พอได้ยินว่าจะไปร้องเรียนที่โรงเรียน พวกหวังคุนกับเฉินเหว่ยต่างกลัวนิดๆ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นนักเรียน คนข้างนอกไปร้องเรียนที่โรงเรียนจะส่งผลกระทบเยอะมาก
ชั่วขณะที่พวกเขาลังเลว่าจะไปดีหรือไม่นั้น ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามา วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “หลู่ฮุย คุณทำอะไรน่ะ? เด็กๆ แค่เล่นบาสเอง คุณจะโมโหไปทั่วทำไม”
“โมโหไปทั่ว?” หลู่ฮุยพูดอย่างไม่พอใจ จากนั้นถลึงตามองพวกหวังคุนทีหนึ่ง “รีบไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันพูดจริงทำจริง!”
พูดจบ หลู่ฮุยหมุนตัวเดินไปทางผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้นพูดบางอย่างกับหลู่ฮุย หลู่ฮุยจึงคอตกเดินกลับตึกไป ก่อนที่เธอจะวิ่งเข้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “ขอโทษด้วยนะ เขานิสัยไม่ค่อยดีน่ะ…”
“คุณน้า ถ้าเราเล่นบาสต่อ เขาจะไม่ไปก่อเรื่องที่โรงเรียนพวกเราใช่ไหมครับ?” หวังคุนถาม
ผู้หญิงฝืนยิ้มบอก “เขาอาจจะไปก่อเรื่องจริงๆ แต่พวกเธอวางใจได้ น้าจะกลับไปกล่อมเขาเอง ถ้าไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเธอหยุดเล่นกันก่อนดีกว่า…”
หวังคุนกลอกตามองบน “เอาเถอะ เจอพวกไร้เหตุผลแล้วนี่ เฉินเหว่ย พรุ่งนี้แข่งกันอีกไหม?”
เฉินเหว่ยพยักหน้าเอ่ย “ก็คงได้แต่อย่างนั้น”
เอ่ยจบ คนสองฝ่ายก็ออกจากเขตเล็กไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฟางเจิ้งไม่ได้สอดมือยุ่งเรื่องนี้เลย แต่มองทุกอย่างอยู่เงียบๆ จนกระทั่งพวกเฉินเหว่ยกับหวังคุนออกจากเขตเล็กไปแล้ว เขาถึงตบๆ หัวหมาป่าเดียวดายเตรียมตัวจะจากไป
ผู้หญิงคนนั้นมองแผ่นหลังของพวกหวังคุนพลางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แล้วขึ้นตึกไปเช่นกัน
ผลคือผู้หญิงเพิ่งเข้าตึก ก็ได้ยินเสียงทะเลาะดังแว่วมาจากในห้อง
“พ่อ พ่อมีสิทธิ์อะไรไปทำแบบนั้น?!”
“สิทธิ์ที่พวกมันรบกวนคนอื่นไง!”
“รบกวนใคร? กวางวันแสกๆ แบบนี้ พวกเขารบกวนใคร?”
“รบกวนฉัน!”
จากนั้นเป็นเสียงปิดประตู
ผู้หญิงเข้าห้องไปก็เห็นผู้ชายนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าทะมึน กำลังสูบบุหรี่อย่างหนัก
ผู้หญิงมองหลู่ฮุย ก่อนมองประตูห้องลูกแล้วถอนหายใจ “หลู่ฮุย คุณก็รู้ว่าคุณโกรธอยู่ แต่จะระบายไปทั่วไปไม่ได้ เด็กพวกนั้นแค่เล่นบาสกันเอง ทำไมคุณต้องทำแบบนั้นด้วย”
“เสี่ยวเจิ้งก็เป็นแบบนี้ตลอด พวกมันมายั่วโมโหเขา ผมจะไม่สนใจได้ยังไง?” หลู่ฮุยบี้บุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่แรงๆ
ผู้หญิงยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “หมอว่ายังไงบ้าง?”
หลู่ฮุยขมวดคิ้วแน่น ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนถอนหายใจบอก “ไม่มีวิธีไหนมีผลทันที แต่หมอแนะนำว่าให้พวกเราไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา แต่ว่าคุณก็เห็นแล้วนี่ เขาไม่ยอมออกจากบ้านเลย แถมยังถูกเด็กเวรพวกนั้นยั่วอารมณ์ทุกวันอีก…”
“เด็กเวรอะไรอยู่ได้ พูดดีๆ ไม่ได้รึไง? เด็กพวกนั้นอยากเล่นบาส ต่อจากนี้คุณห้ามไปกวนอีกนะ” ผู้หญิงคือภรรยาของหลู่ฮุย ชื่อว่าซูอวิ๋น
หลู่ฮุยไม่โต้ตอบ
ซูอวิ๋นเอ่ยอย่างจนปัญญา “คุณนี่นะ หัวแข็งมาทั้งชีวิต รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองผิดก็ยังไม่ยอมรับ”
“ผมไม่ผิด แค่วันนี้ผมไม่อนุญาตให้พวกมันเล่นบาส” หลู่ฮุยพูดด้วยเสียงทุ้มอู้อี้
“คุณ…ทำไมดื้อแบบนี้เนี่ย!” ซูอวิ๋นยืนขึ้นด้วยความโมโห
หลู่ฮุยไม่โต้ตอบอีกครั้ง จุดบุหรี่อีกมวน สูบแรงๆ ไปสองสามที บุหรี่ก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว…ระหว่างสูบบุหรี่อยู่นี้ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาหัวแข็งจริงๆ ไม่มีทีท่าจะยอมรับผิดเลย
ซูอวิ๋นถอนหายใจอย่างจนใจ เคาะประตูห้องของลูกชายหลู่เจิ้งแล้วผลักประตูเดินเข้าไป
หน้าต่างห้องใหญ่มาก แต่ในห้องกลับอึมครึมนิดๆ ผ้าม่านปิดเอาไว้แน่นหนา เหลือเพียงรอยแยกหนึ่ง ห้องไม่ได้เปิดไฟไว้ เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หมุน นอนหมอบพาดริมหน้าต่าง เหม่อมองสนามบาสที่ว่างเปล่าข้างนอก
“เสี่ยวเจิ้ง…” ซูอวิ๋นพูดเสียงเบา
เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา สีหน้าซีดขาวนิดๆ เขาไม่ตอบอะไร มีเพียงความเหงา ละอายในตัวเอง และเสียใจเล็กน้อย
เห็นหลู่เจิ้งเป็นแบบนี้ ซูอวิ๋นจึงเดินเข้าไปกอดหัวลูกชายเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “เสี่ยวเจิ้ง ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง จากนี้ลูกไปเล่นบาสได้นะ บางทีลูกอาจจะเป็นดาราดังก็ได้”
“แต่ตอนนี้ผมยังเดินไม่ได้เลย” หลู่เจิ้งตอบเสียงเบา ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง มีความโกรธและสิ้นหวังหลายส่วน
“ไม่หรอก หมอเคยบอกว่าขอแค่ลูกลองทำ สักวันหนึ่งจะเดินได้เอง ถึงขั้นวิ่งได้เหมือนเมื่อก่อน ถึงตอนนั้นลูกจะต้องเอาลูกยัดลงห่วงโชว์แม่นะ แม่อยากเห็นมากเลย” ซูอวิ๋นพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
แต่หลู่เจิ้งไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ก้มหน้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“เสี่ยวเจิ้ง วันนี้อากาศดีเลย แม่เข็นลูกออกไปเดินเล่นหน่อยไหม” ซูอวิ๋นพูด
“แม่ ผมอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” หลู่เจิ้งตอบเสียงเบา
ซูอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าขมขื่นยิ่ง ตบบ่าหลู่เจิ้งพลางว่า “ได้ ถ้าลูกอยากออกไปก็เรียกแม่นะ”
พูดจบ ซูอวิ๋นออกจากห้องหลู่เจิ้ง หลู่เจิ้งหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง มองสนามบาสนอกหน้าต่าง ราวกับเห็นร่างร่างหนึ่งกระโดดลอยขึ้นแสลมดังก์สวยๆ…
ตอนซูอวิ๋นออกมา หลู่ฮุยไม่อยู่แล้ว ในที่เขี่ยบุหรี่มีหัวบุหรี่ที่เพิ่งสูบหมดวางกองเต็ม บางอันยังติดไฟอยู่ ควันดำลอยโชยขึ้นมา เห็นได้ว่าหลู่ฮุยเพิ่งออกไปไม่นาน
และตอนนี้เอง ฟางเจิ้งกำลังพาหมาป่าเดียวดายเดินอยู่บนถนนข้างนอก
“อาจารย์ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมกลุ่มคนพวกนั้นถึงถูกคนคนเดียวไล่ไป? คนนั้นเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” หมาป่าเดียวดายตามอยู่ข้างหลังฟางเจิ้ง ถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งตอบ “จิ้งฝ่า จำเอาไว้นะ โลกนี้มีเรื่องมากมายที่ไม่ต้องใช้กำลังแก้ปัญหา คนมาก บางครั้งก็กลัวคนน้อย”
“เอ่อ เหมือนที่พวกเรากลัวอาจารย์รึเปล่า?” หมาป่าเดียวดายสรุปเรื่องนี้แล้วอนุมานไปถึงอีกเรื่อง
แต่ฟางเจิ้งฟังแล้วทำไมไม่รื่นหูนัก? ทำไมเหมือนกับพวกมันกลัวเขา หรือว่าเขาจะน่ากลัวขนาดนั้นเลย?
หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งเงียบ จึงถามต่อทันที “อาจารย์ ตอนนี้เราจะไปไหนกัน?”
“ตอนนี้เหรอ เดินเล่นไปรอบๆ” ฟางเจิ้งก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนเหมือนกัน นี่คือเมืองที่แปลกตาอย่างสิ้นเชิง ดูจากสิ่งก่อสร้างก็เก่าแก่นิดๆ อย่างมากก็เป็นอำเภอเมือง ไม่ใช่เมืองใหญ่อะไร เดินไปได้ไม่ไกลก็เลี้ยวโค้งอีกครั้ง เห็นร้านค้าเล็กๆ ไม่น้อยตรงปากทางเข้าโรงเรียนมัธยม บ้างขายของกิน ขายขนม ขายเครื่องเขียน นักเรียนกลุ่มใหญ่เข้าๆ ออกๆ บ้างล้อมแผงขายของคอยเลือกของ บ้างคุยกันตรงหน้าประตู รถหลายคันบีบแตรตลอด อยากจะวิ่งผ่านแต่กลับยากยิ่ง ทว่าทุกคนเหมือนจะไม่ใส่ใจจังหวะเนิบช้าแบบนี้ คล้ายว่าจะชินกันแล้ว…
เห็นปากทางเข้าโรงเรียนที่เสียงดังโหวกเหวกแต่มีระเบียบขั้นตอนในตัวมันเองแล้ว ฟางเจิ้งพูดงึมงำว่า “คิดถึงจริงๆ เลย…”