The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 377 แถวหน้าแถวหลัง
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 377 แถวหน้าแถวหลัง
“หือ?” หลู่ฮุยมองฟางเจิ้งอึ้งๆ กรรมมีผลสนอง จะบิณฑบาตเปล่าๆ ไม่ได้ เช่นนั้นนักบวชรูปนี้มาบ้านเขาเพราะมีเป้าหมาย?
ฟางเจิ้งยิ้มๆ ก่อนมองไปยังห้องของหลู่เจิ้ง “อาตมาอยู่ใต้ตึก เห็นดวงตาเปี่ยมด้วยความปรารถนาคู่หนึ่ง แต่ส่วนลึกในดวงตานั้นกลับสิ้นหวัง ประสก เล่าเรื่องของดวงตาคู่นั้นให้อาตมาฟังหน่อยได้ไหม?”
หลู่ฮุยตะลึงไปอีกครั้ง จากนั้นตกเข้าสู่ความเงียบ
ฟางเจิ้งไม่เร่งรัด แต่รออยู่เงียบๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง หลู่ฮุยยังคงเงียบ ตอนนี้ซูอวิ๋นยกกับข้าวทั้งหมดออกมาแล้ว ยิ้มบอกอย่างเกรงใจนิดๆ ว่า “หลวงพี่ พวกท่านกินไปก่อนเลย ฉันจะเอาข้าวไปให้ลูก”
พูดจบ ซูอวิ๋นถือชามที่มีข้าวและกับข้าวเดินเข้าห้องของหลู่เจิ้ง
ฟางเจิ้งมองไป เห็นในห้องดำมืด หน้าต่างปิดอยู่ มองไม่เห็นอย่างอื่นอีกเพราะประตูถูกปิดแล้ว
ตอนนี้เอง มีเสียงต่ำดังแว่วมาข้างหูฟางเจิ้ง “ข้างในนั้นคือหลู่เจิ้งลูกชายผมเอง พวกเราเรียกเขาว่าเสี่ยวเจิ้ง เด็กคนนี้ชอบเล่นบาสมาตั้งแต่เด็ก น่าเสียดาย…ประสบอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ขาสองข้างถูกชน จากนั้นมาก็ยืนไม่ได้ หมอบอกว่ายังมีความหวังว่าจะยืนได้ แต่ว่าริบหรี่มาก สิ้นหวังมาก เขาจะขังตัวเองอยู่ในห้องทุกวัน ไม่พบหน้าใครเลย
จากวันนั้นมาเขาแทบไม่เคยโกรธ ไม่เคยยิ้ม เหมือนเสียจิตวิญญาณไป ไม่คิดอะไรแล้ว ไม่สนใจอะไรเลย ไม่เคยถาม คล้ายตัดขาดจากโลก
พอซื้อรถเข็นให้เขา ก็แค่ใช้ไปห้องน้ำบางครั้ง ปกติจะไม่ใช้เลย เอาแต่นอนบนเตียง เหม่อมองฝ้าเพดาน หลายวันมานี้พวกเด็กๆ เริ่มมาเล่นบาสกัน ตอนนี้เสี่ยวเจิ้งจะมองไปนอกหน้าต่าง…แต่พอเด็กพวกนั้นไปแล้ว เสี่ยวเจิ้งจะเงียบยิ่งกว่าเดิม ของที่คนคนหนึ่งเคยมี ไม่แน่ว่าจะรักทะนุถนอม ทว่าตอนที่เขาเสียมันไปถึงเข้าใจความล้ำค่าในนั้น! เดิมทีเสี่ยวเจิ้งมีขาที่สมบูรณ์ วิ่งได้ กระโดดได้ เล่นบาสก็ใช้ได้…ตอนนี้…ตอนนี้มาเห็นคนอื่นเล่นบาสอีก ผมกลัวว่าเขาเห็นแล้วจะสะเทือนใจเสียใจ ก็เลยไล่เด็กพวกนั้นไป
แต่ว่าเสี่ยวเจิ้งเหมือนจะเงียบกว่าเดิม…พูดตามจริงนะครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ผมไม่รู้ว่าผมยังทำอะไรเพื่อเขาได้อีก”
หลู่ฮุยพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็แหบพร่าเล็กน้อย พ่อคนหนึ่งเห็นลูกตัวเองค่อยๆ นิ่งเงียบ อยู่ไม่สู้ตาย ความเจ็บปวดที่เขาได้สัมผัสไม่น้อยไปกว่าหลู่เจิ้งเลย เป็นพ่อคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักแค่ไหนก็ได้แต่อดทน เพราะเขาเข้าใจว่าแขนของตนคือเสาเอกของฟ้าผืนสุดท้ายที่ค้ำยันลูกไว้ ถ้าเขาล้ม ลูกจะหมดหนทางช่วยจริงๆ
“เฮ้อ พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน…” หลู่ฮุยบ่นด้วยความขมขื่น หยิบแก้วสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ก่อนที่มือจะสั่นเทา ฝืนยิ้มพูดว่า “ขอโทษครับ”
“ประสก อาตมาเลิกสุราแล้ว ประสกไม่ใช่นักบวช ตามสบายเถอะ” ฟางเจิ้งเข้าใจเจตนาของหลู่ฮุย
หลู่ฮุยพยักหน้า กระดกแก้วดื่มรวดเดียวหมด ลมหายใจถึงดีขึ้นมาหน่อย เพียงแต่ดวงตาแดงกว่าเดิม
ฟางเจิ้งมองห้องของหลู่เจิ้ง “คนที่ประสบเองมักมองปัญหาไม่ออก คนที่อยู่รอบกายกลับมองทะลุเห็นความเป็นไป ในมุมมองอาตมา เสี่ยวเจิ้งไม่ได้ยอมแพ้จริงๆ กลับกัน ในใจเขายังมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง เขายังไม่ได้ละทิ้งตัวเองทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูการแข่งบาส คงนอนอยู่บนเตียงกลายเป็นคนกึ่งเป็นกึ่งตาย”
“หือ?!” หลู่ฮุยเงยหน้าขึ้นด้วยความมึนงง มองฟางเจิ้ง ในดวงตาฉายประกายแห่งความหวังวูบวาบ เขาไม่ใช่คนโง่ ฟางเจิ้งพูดแบบนี้จึงเข้าใจ! จริงด้วย ถ้าในใจสิ้นหวังถึงที่สุดแล้ว จะดูแข่งบาสทำไม?
คิดถึงตรงนี้ หลู่ฮุยพูดด้วยเสียงสะอื้นอยู่บ้าง “ขอหลวงพี่ช่วยชี้แนะด้วยครับ”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าพลางว่า “นี่ไม่ใช่โรคของขา แต่หัวใจกำลังป่วย อาตมามีวิธี แต่ต้องให้พวกโยมร่วมมือด้วย”
“ร่วมมือ? ร่วมมือยังไงครับ?” หลู่ฮุยมึนงง
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย แล้วกระซิบข้างหูหลู่ฮุยสองสามประโยค
หลู่ฮุยว่า “นี่…พวกเขาจะตกลงเหรอครับ”
“ต้องดูที่ประสกแล้ว อาตมาช่วยได้แค่นี้” ฟางเจิ้งตอบ
หลู่ฮุยตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ถึงกัดฟันบอก “ตกลง! ได้ครับ!”
หลังกินอาหารเที่ยงเสร็จ ฟางเจิ้งยังไม่เห็นหลู่เจิ้ง แต่นี่ไม่สำคัญแล้ว เขาเอ่ยลาซูอวิ๋นกับหลู่ฮุย ออกจากเขตเล็กเยียนกว่าง ก่อนจะตรงไปบ้านของหวังคุน
สิ่งที่ฟางเจิ้งแปลกใจเล็กน้อยคือ เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านหวังคุนกลับได้ยินเสียงเอะอะมาจากในบ้าน ประตูไม่ได้ปิดไว้ พอเปิดออกดู เห็นเฉินเหว่ย หวังคุน และกลุ่มนักบาสกลุ่มใหญ่อยู่กันครบ! กำลังดื่มเบียร์ ร้องเพลงส่งเสียงดังในบ้าน…นี่มันกลุ่มพวกบ้าชัดๆ!
หมาป่าเดียวดายแหงนหน้ามองฟางเจิ้ง “อาจารย์ เจ้าพวกนี้บ้าไปแล้ว”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “บ้าจริงๆ”
หมาป่าเดียวดายถาม “แล้วท่านจะยังยุ่งกับพวกเขาไหม?”
“แน่นอน!” ฟางเจิ้งพยักหน้า
“ไต้ซือ ท่านกลับมาแล้ว! รีบนั่งเร็วครับ!” หวังคุนเห็นฟางเจิ้งเลยโบกมือให้อย่างดีอกดีใจ มืออีกข้างถือเบียร์ขวดหนึ่ง ดูมีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัด
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ “ทุกคนเล่นต่อไปเถอะ อาตมาจะออกไปเดินเล่น”
ว่าจบ ฟางเจิ้งจึงพาหมาป่าเดียวดายออกไป หวังคุนคิดๆ แล้วก็ตามไปทันที
“ไต้ซือ ท่านไม่ชอบความครื้นเครงเหรอครับ ผมให้ทุกคนกลับไปไหม?” หวังคุนซาบซึ้งใจต่อฟางเจิ้งจริงๆ คำพูดเมื่อวานอาจจะเปลี่ยนความคิดของคนอื่นที่มีต่อเขาไม่ได้ แต่เปลี่ยนมุมมองของเขาต่อโลกได้! ยืนหยัดว่าตนคิดถูกต้อง ไม่ได้เสียเปล่า ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่า เขาชอบความรู้สึกนี้! ดังนั้นหวังคุนเลยมองฟางเจิ้งเป็นเพื่อนสนิทที่สุด
ฟางเจิ้งขบคิด ตอบว่า “หวังคุน อาตมามีเรื่องอยากจะพูดด้วย”
“เรื่องอะไรครับ” หวังคุนถามทันที ก่อนตบหน้าอก “ไต้ซือจะเกรงใจผมทำไม มีเรื่องอะไรพูดมาเลยครับ”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “คืออย่างนี้…”
ฟางเจิ้งเล่าสถานการณ์ของหลู่เจิ้งให้หวังคุนฟัง หวังคุนฟังนิ่งไปนิด เอ่ยว่า “คนที่โดนรถชนเมื่อช่วงก่อนคือลูกชายของคุณอาคนนั้น? ว่าแล้วเขาถึงไล่พวกเราไป”
“เรื่องราวคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ อาตมาอยากช่วยหลู่เจิ้ง แต่ต้องให้ประสกช่วยด้วย” ฟางเจิ้งพูด
“ไม่มีปัญหา ไต้ซือ ท่านบอกมาเลยว่าพวกเราควรทำยังไง!” หวังคุนตอบตกลงทันที
“อ้อ? ประสกไม่ต้องคิดก็ตอบตกลงเลยเหรอ” ฟางเจิ้งมองหวังคุนด้วยความตกใจ
หวังคุนมองค้อนทีหนึ่ง “ผมแค่ชอบเล่นบาส ไม่ใช่คนเลวไร้ใจ ได้ทำความดีช่วยคนอื่นได้ ทำไมจะไม่ตกลงล่ะ?”
ฟางเจิ้งแย้มยิ้ม เขาไม่ได้เพิ่งเคยได้ยินคำพูดแบบนี้เป็นครั้งแรก ตอนนั้นที่เขาเรียนหนังสือ มีเพื่อนหลายคนที่เหมือนฟางเจิ้ง เรียนไม่ดีและถูกมองว่าเป็นนักเรียนแย่ ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาแค่เรียนแย่เท่านั้น แต่เวลาที่มีใครต้องการความช่วยเหลือจริงๆ พวกเขาจะกระตือรือร้นที่สุด กระทั่งตอนนั้นยังมีคนพูดเล่นๆ ว่า ‘ห้องเรียนห้องหนึ่ง ในฐานะของโรงเรียน ในสายตาอาจารย์และครูใหญ่ จะดูกันที่ศักยภาพของแถวหน้าสุด แต่ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง จะดูที่ศักยภาพของแถวหลังสุด!’