The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 87 หมาป่าไหว้พระ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 87 หมาป่าไหว้พระ
ตอนนี้โหวจื่อขับรถอยู่บนถนน แน่นอนว่าเล่นมือถือไม่ได้
ฟางเจิ้งเห็นโหวจื่อไม่ตอบกลับ จึงเรียกหมาป่าเดียวดายที่แอบไปเที่ยวเล่นให้ออกมาถ่ายรูปอย่างปลื้มอกปลื้มใจ เล่นกันสนุกสนาน ด้วยความอารมณ์ดี เล่นอะไรก็สนุกไปหมด!
ฟางเจิ้งเล่นสนุกใหญ่ หยิบไม้หลายท่อนมาต่อเข้าด้วยกัน ด้านล่างท่อนไม้ติดด้วยเหล็ก ทำเป็นรถลากเลื่อนบนหิมะ ก่อนจะจับหมาป่าเดียวดายที่คิดหนีกลับมา ผูกให้ดี จากนั้นก็ขี่ไป!
หมาป่าเดียวดายวิ่งไปด้วยความคับอกคับใจ วิ่งไปพลางเห่าไปพลาง “ฉันฟังเข้าใจนะ นายพูดภาษาคนไม่ได้รึไง? ฉันไม่ใช่ม้า ไม่ใช่ลา ฉันเป็นหมาป่า!”
“ดี ไปเลย!”
“ฉันเป็นหมาป่า!”
“บรู้วๆๆ!”
“นาย…”
………..
อู๋ฉางสี่กลับเข้าอำเภอแล้วก็ได้รับสายจากสำนักพิมพ์ บอกว่าให้เขากลับไปทำงาน อู๋ฉางสี่พลันหัวเราะ ทิ้งโหวจื่อกับพั่งจื่อไว้รีบกลับไปเขียนต้นฉบับ
พั่งจื่อกับโหวจื่อคุยโม้ในโซเชียลถึงความมหัศจรรย์ของหลวงจีนในวัดเอกดรรชนีอย่างสุดกำลังเพื่อของกินเหมือนกัน
จิ่งเหยียนกลับสำนักพิมพ์แล้ว สิ่งแรกที่ทำคือเขียนต้นฉบับ แม้สิ่งที่ประสบมาในวันนี้จะไม่ดีนัก แต่ต้องพูดเลยว่าวันนี้เธอได้เห็นปาฏิหาริย์!
เฉินจิ้งเองแม้กำลังเขียนต้นฉบับ แต่กำลังตรึกตรองอยู่ว่าจะเขียนให้หลวงจีนนั่นเป็นนักบวชอันธพาลอย่างไร…ในมุมมองเขา จะเขียนเกี่ยวกับการประลองไม่ได้ เพราะมีศักยภาพของอีกฝ่ายอยู่ ประกอบกับโอวหยางหวาไจเป็นฝ่ายยอมแพ้เอง ขืนพูดอะไรอีกก็ถือเป็นการตบหน้าตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเล็งเป้าหมายไปที่หมาป่าเดียวดาย
‘หลวงจีนปล่อยหมาป่ามากัดคน ชาวบ้านตรงตีนเขาต่างหวาดกลัว…’
ไชฟางก็กำลังกัดด้ามปากกา กำลังตรึกตรองทุกตัวอักษรว่าควรจะเขียนอย่างไรดี โดยพื้นฐานจะใช้การพรรณนาตามจริงเขียนต้นฉบับนี้…
ในเมืองอำเภอ พวกคนหน้าแบนเข้ามาชิดใกล้กัน ยังคงโมโหอยู่ไม่หาย จึงพากันเข้าไปในโซเชียลมีเดียต่างๆ แล้วเริ่มสาดโคลนใส่วัดเอกดรรชนี
อย่างไรโซเชียลมีเดียก็เร็วกว่าข่าว หลังจากคนหน้าแบนโพสต์ลงในบอร์ดกระทู้ ก็มีคนไม่น้อยออกมาแสดงความเห็น
“บอกแล้วไง นักบวชเต๋าลงเขามาช่วยโลกในกลียุค แต่หลวงจีนปิดประตูหนีภัย นักบวชเต๋ากลับเขาลึกยามโลกสงบสุข แต่หลวงจีนออกจากเขามาเรี่ยไรเงิน สมัยนี้หลวงจีนเชื่อถือไม่ได้!”
“หลวงจีนนี่ไร้ยางอายมากเลย ปล่อยหมาป่ามากัดคนอย่างไม่มีเหตุผล เกินไปแล้วจริงๆ”
“ฉันก็อยากรู้นะว่าคนธรรมดาเลี้ยงสัตว์ป่าแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีใครสนใจเลยเหรอ? ข้าราชการท้องถิ่นนี่ก็ทำงานห่วยเกินไปแล้วมั้ง”
“ถูก ไม่มีคนไปตรวจสอบเลยรึไง?”
คนหน้าแบนเห็นคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปก็ได้ความคิดขึ้นมา พลันใส่ไฟเข้าไปอีก กระทั่งแท็กตำรวจป่าไม้ท้องที่ หน่วยงานคุ้มครองสัตว์อะไรพวกนี้ด้วย กลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่มากพอ!
วันที่สอง ต้นฉบับของเฉินจิ้งถูกส่งออกไป เดิมทีหัวข้อสนทนาที่ว่าเลี้ยงหมาป่าไว้รอบวัดเหมาะสมหรือไม่ก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรง!
“อะไรนะ? หลวงจีนนั่นปล่อยหมาป่ามากัดคนจริงๆ? ข่าวออกแล้ว! ใครที่ไม่เชื่อไปดูเลย!”
“ข่าวยังบอกว่าหมาป่าตัวนี้ลงเขาไปขโมยไก่กินด้วย ชาวบ้านต่างหวาดกลัว”
“ข้างบนก็บอกไม่ใช่เหรอว่าเมื่อหลายปีก่อนมีชาวบ้านขึ้นเขาไปถูกหมาป่ากัดตาย”
“และยังมีคนถูกหมาป่าโจมตีในหมู่บ้านด้วยนะ”
“หลวงจีนนี่บาปหนาจริงๆ!”
………….
แต่ต้นฉบับของจิ่งเหยียนกับไชฟางกลับติดขัดในช่วงเวลาสำคัญ!
“อะไรนะ? ออกช้าหน่อยเหรอ?” จิ่งเหยียนอึ้งไป
“ผมต้องการเหตุผล” ไชฟางพูดด้วยความโกรธ
“นี่เป็นความเห็นของพวกหัวหน้า สำนักพิมพ์ต้องการข่าวใหญ่ ตอนนี้วัดเอกดรรชนีเป็นที่รู้จักของมหาชนแล้ว ให้พวกเขาด่าไปก่อน รอจนประเด็นร้อนขึ้นมาแล้วพวกเราค่อยให้ความจริงกระจ่าง ถึงตอนนั้นข่าวนี้จะเป็นข่าวใหญ่ไง!” หัวหน้าตอบกลับ
จิ่งเหยียนกับไชฟางพากันแสดงความเห็น การจะเขียนข่าวให้จริงต้องมีความตรงเวลา เป็นความจริง จะไปสร้างกระแสแบบนี้ได้ยังไง?
แต่ผลลัพธ์ก็ถูกคัดค้านทั้งหมด
ฟางเจิ้งไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เขาเลี้ยงหมาป่ากลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่เขารู้ว่ามีปัญหามาหาแล้ว!
“ฟางเจิ้งอยู่ไหม?” ตำรวจสองนายเดินเข้าประตูใหญ่มา หนึ่งคืออู๋ไห่คนรู้จักเก่า อีกคนสวมชุดกรมป่าไม้ ฟางเจิ้งไม่รู้จัก ข้างหลังยังมีอีกคนหนึ่ง ถือเครื่องมือบันทึกตามกฎหมาย
“อมิตาพุทธ โยมสองคนมีเรื่องอะไรกันหรือ?” ฟางเจิ้งประนมมือถามด้วยความกังวล
“เจอกันอีกแล้วนะไต้ซือ คือแบบนี้ ได้ยินว่าท่านเลี้ยงหมาป่าบนเขาเหรอ คนคนนี้คือเพื่อนที่กรมป่าไม้ ตามกฎหมายประเทศแล้วท่านเลี้ยงหมาป่าที่นี่ไม่ได้ ดังนั้น…” อู๋ไห่ผายมือสองข้างออกสื่อว่ามีปัญหาเล็กน้อย หลังจากเรื่องหานเซี่ยวกั๋ว อู๋ไห่ก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฟางเจิ้ง เรียกไต้ซืออย่างจริงใจมาก
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจเล็กน้อย ถึงหมาป่าเดียวดายจะขี้เกียจอยู่บ้าง แถมยังเจ้าเล่ห์มาก แต่มันเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ บนเขานี้ไม่มีใคร เขาจึงให้หมาป่าอยู่เป็นเพื่อน ถ้าจะจับมันไป เขาจะต้องคุยกับก้อนหินทุกวันรึเปล่า?
ที่สำคัญที่สุดคือหมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่า มันไม่อยากถูกขังอยู่ในสวนสัตว์ แบบนั้นไม่มีอิสระเกินไป มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย!
แต่ฟางเจิ้งโกหกซี้ซั้วไม่ได้ ทว่าก็ปิ๊งความคิดขึ้นมา จึงส่ายหน้าบอก “โยมทั้งสองคงเข้าใจผิดแล้ว วัดนี้มีหมาป่าเดียวดายมาไหว้พระกินข้าวบ่อยๆ แต่วัดนี้ไม่ได้เลี้ยงหมาป่าไว้…”
“พรวด!” หลิวเทาจากกรมป่าไม้ได้ยินดังนั้นก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “อู๋ไห่ นี่คือไต้ซือที่นายบอกเหรอ นี่พูดจาเลอะเทอะเกินไปรึเปล่า? หมาป่ามาไหว้พระเนี่ยนะ? ทำไมไม่บอกว่ามันสวดมนต์ได้ด้วยเลยล่ะ?”
อู๋ไห่เองก็หัวเราะแห้งๆ “ไต้ซือ ผมเข้าใจความรู้สึกท่านนะ สัตว์เลี้ยงของใครถูกเอาไปก็ไม่โอเคกันทั้งนั้น แต่ว่าท่านพูดจาเชื่อถือไม่ได้เกินไปนะ”
หลิวเทาพูดเสริม “เณรอย่ากังวลเลย ถ้าเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กๆ จะได้ลงประวัติมันในหนังสือพิมพ์นะ อีกอย่างเราต้องทดสอบนิสัยมันด้วย ถ้ามีนิสัยเลี้ยงข้างนอกดีกว่าพวกเราจะปล่อยมันไป ไม่ขังไว้หรอก แน่นอนว่าถ้ามันมีชีวิตข้างนอกไม่ได้ พวกเราก็ทำได้แค่ส่งมันไปที่สวนสัตว์ จะมาเลี้ยงอยู่ที่นี่มันไม่ปลอดภัยนะ ถึงยังไงตรงตีนเขาก็ยังมีชาวบ้านอีกมาก”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็วางใจ เดิมทีหมาป่าเดียวดายเป็นสัตว์ป่า มีทักษะการเอาตัวรอดข้างนอกดีกว่าฟางเจิ้งมาก แต่ว่าถูกตำรวจพาไปหรือ แบบนี้มันเป็นปัญหาอยู่เล็กน้อย
ฟางเจิ้งกล่าว “อมิตาภพุทธ หมาป่าตัวนั้นเป็นเพียงแขกของวัดเหมือนกับพวกโยม อาตมาไม่มีสิทธิ์ตัดสินแทนมัน”
“เณรพูดแบบนี้ไม่สนุกเลยนะ…เอ่อ นั่นหมาป่าตัวนั้นเหรอ?” หลิวเทาจะพูดต่อ แต่มีหมาป่าตัวใหญ่สีเงินเดินเข้ามาจากด้านหลัง ก่อนช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างดูถูก! นิสัยเหมือนคนแบบนี้ทำให้หลิวเทาตกใจจนต้องกลืนคำพูดข้างหลังกลับลงท้องไป
หมาป่าเดียวดายไม่ได้ไปไหนไกล เห็นมีคนมาก็เลยกลับมาดูสักหน่อยว่าจะให้ผู้ปกปักแห่งพุทธศาสนาหมายเลขหนึ่งอย่างตนแสดงวิชาหรือไม่ เผื่อจะได้อาหารเพิ่มตอนเย็นด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรให้มันทำ!
ฟางเจิ้งก็ไม่รู้ว่าหมาป่าเดียวดายจะรู้ไหมว่าควรทำอะไร จึงพูดเตือน “โยมมาไหว้พระอีกแล้วหรือ?”
……………………..