The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 116 มาขออักษรกันเป็นกองทัพ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 116 มาขออักษรกันเป็นกองทัพ
ซ่งเอ้อโก่วมองวัยรุ่นคนนั้นแล้วก็มองวัยรุ่นที่กำลังยุ่งอยู่อีกหลายคนข้างๆ ก่อนส่ายศีรษะ “เป็นเรื่องดี แต่ว่าอาจจะใช้ไม่ได้กับหมู่บ้านพวกเรา พวกนายกลับบ้านไปเถอะ ฉันจะกวาดถนน” พูดจบซ่งเอ้อโก่วก็จะเดินไป
วัยรุ่นไม่เข้าใจจึงรีบถาม “คุณอาหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงใช้ไม่ได้ล่ะ? หรือว่าทุกคนซื้อคำกลอนกันแล้ว? วางใจเถอะ พวกเราทำให้ฟรี ไม่คิดเงิน”
ซ่งเอ้อโก่วมองวัยรุ่นคนนั้น “ไอ้หนุ่ม นายไม่ได้ยินข่าวก่อนหน้านี้เหรอ? ในหมู่บ้านพวกเรามีไต้ซือพู่กันจีน ทุกคนนัดกันไว้แล้วว่าวันนี้จะขึ้นเขาไปเขียนคำกลอน ดังนั้นนะ วันนี้พวกนายมาเสียเที่ยวแล้ว ฉันว่ากลับไปเถอะ จะรับความหวังดีไว้แล้วกัน”
“ไต้ซือพู่กันจีน? ที่นี่?” วัยรุ่นงง
วัยรุ่นอีกคนข้างหลังได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม เดินเข้ามาใกล้ “คุณอา พวกเราเป็นนักศึกษาเพิ่งปิดเทอม คุณอาพูดจริงเหรอครับ?”
ซ่งเอ้อโก่วตอบ “มิน่าล่ะ พวกนายไม่รู้ก็ไม่แปลก ยังไงดีล่ะ คนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนของพวกนายเคยมาประลองกันที่นี่ แต่แพ้ไป”
“จริงหรือครับ?” วัยรุ่นสองคนไม่โกรธ แต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จริงแน่นอน จะไม่เชื่อก็ช่าง…เฮ้อ ดูท่าพวกนายเป็นพวกหน้าใหม่ จะต้องถูกหลอกแน่ๆ นักเขียนพู่กันจีนพวกนั้นในอำเภอพวกนาย เหอะๆ…คงไม่มีหน้ากล้ามาที่หมู่บ้านของเราจริงๆ” ซ่งเอ้อโก่วกล่าวถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้น ราวกับว่าเขาเป็นคนที่ชนะการประลอง
พวกวัยรุ่นได้ยินดังนั้นต่างก็ร้องด้วยความแปลกใจ หรือว่าจะมียอดฝีมือซ่อนอยู่ในหมู่บ้านจริงๆ?
ขณะที่พวกเขากำลังสงสัย รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด จากนั้นผู้สูงอายุคนหนึ่งเดินลงมา ซ่งเอ้อโก่วมองแวบแรกก็แบะปากแล้วเดินหนีไป
นั่นคือซุนก้วนอิงหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอเมืองซงอู่ ข้างหลังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง หน้าตาสะสวย และก็เป็นคนคุ้นเคย นั่นคือโอวหยางเฟิงหวาลูกสาวโอวหยางหวาไจ
พอเห็นซุนก้วนอิง พวกวัยรุ่นพลันวิ่งเข้ามาเล่าเรื่องที่ซ่งเอ้อโก่วบอกให้ฟัง นักศึกษาที่มีสิววัยรุ่นเต็มหน้าคนหนึ่งยิ้ม “ซุนเหล่า ในหมู่บ้านมีไต้ซือจริงๆ หรอครับ? ที่กันดารแบบนี้มีไต้ซืออยู่จริงๆ เหรอครับ?”
ซุนก้วนอิงได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาโต ต่อว่า “จากนี้ไปอย่าพูดแบบนี้อีก! ไต้ซือชอบอยู่ที่ไหน เธอต้องสนใจด้วยเรอะ?”
“เอ่อ ซุนเหล่า แล้วตกลงที่นี่มีไต้ซือจริงๆ ใช่ไหมครับ?” นักศึกษาที่มีสิววัยรุ่นถามด้วยความตกใจ
“มี เป็นไต้ซือที่สุดยอดท่านหนึ่งเลย! เอาล่ะ ในเมื่อชาวบ้านจัดการกันแล้ว เก็บของซะ ถ้าพวกเธอมีธุระจะกลับก่อนก็ได้ ถ้ายังอยากไปหมู่บ้านอื่นก็ไป” ซุนก้วนอิงกล่าว
ทุกคนได้ยินก็ร้องเฮด้วยความดีใจ แม้อาสาสมัครจะดี แต่หน้าหนาวแบบนี้ใครจะยอมทนหนาวกัน จึงรีบเก็บของ…
ทว่าก็มีคนที่หลักแหลมอยู่เหมือนกัน เดินเข้ามาใกล้ “ซุนเหล่า แล้วท่านล่ะ?”
“พวกเราต้องไปดูไต้ซือเขียนอักษรอยู่แล้ว พวกนายไม่รู้หรอกว่าอักษรของไต้ซือท่านนั้นน่ะ…อืม จะพูดยังไงดี? ถ้าจะต้องบรรยายล่ะก็ต้องใช้คำว่าตกตะลึง! เห็นครั้งเดียวไม่พอ!” โอวหยางเฟิงหวากล่าว
ทุกคนงงกว่าเดิม โอวหยางเฟิงหวาเป็นใคร? ลูกสาวนักวาดพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงโอวหยางหวาไจ แม้แต่เธอยังกล่าวชมไต้ซือแบบนี้ อักษรนั้นจะดีขนาดไหน? ดังนั้นแต่ละคนเลยถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
ตอนนี้เองเสียงรถแล่นเข้ามา เป็นขบวนรถ มีทั้งรถเล็กรถใหญ่ ไม่ต่ำกว่าหลายสิบคน!
คนพวกนี้ลงรถแล้ว พวกอาสาสมัครต่างมึนงง นักวาดพู่กันจีนทั้งมีชื่อและไม่มีชื่อในอำเภอซงอู่มากันหมดเลย! นี่มาทำอะไรกัน? รวมทีมเตะฟุตบอลหรือรวมกลุ่มมาเที่ยว?
ซุนก้วนอิงก็งงเหมือนกัน จึงหันหน้าไปถาม “พวกคุณมากันหมดเลยเหรอ? อย่าบอกนะว่ายังไม่ยอมแพ้เรื่องครั้งก่อน! ถ้าเป็นอย่างนั้นไสหัวกลับไปเลย! ใครก็ห้ามรบกวนไต้ซือ!”
“เดี๋ยวๆ ซุนเหล่า ท่านอย่าพูดแบบนี้สิ ครั้งก่อนพวกเรามันกบในกะลา มองเขาเป็นพวกลวงโลก ครั้งนี้พวกเรามาตั้งใจจะขออักษรจริงๆ” ชายหน้าเหลี่ยมยิ้มแห้งๆ เดินเข้ามา
“พวกคุณก็มาขออักษรเหมือนกันเหรอ?” โอวหยางเฟิงหวาอึ้งงัน ถามไปโดยจิตใต้สำนึก
“เอ่อ…หรือว่าคุณก็ด้วย?” ทุกคนต่างงงวย บ้านโอวหยางเฟิงหวามีนักวาดพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วจะมาขออักษรอีกเหรอ?
เห็นโอวหยางเฟิงหวาพยักหน้า ทุกคนพลันเงียบกริบ…
หลิวซูชิงเป็นสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอซงอู่ ทว่าจะอยู่ต่างจังหวัดตลอดปี ปีนี้กลับมาฉลองปีใหม่ เพื่อนชวนให้มาขออักษร ตอนแรกสงสัยและไม่เข้าใจ จะมาขออักษรในป่าเขาทำไม? หรือว่าเณรจะเขียนภาพของเหยียนเจินชิงออกมาได้? เขารู้สึกว่าเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ สงสัยมากว่าจะสร้างกระแส!
แม้จะเห็นโอวหยางเฟิงหวา เห็นซุนก้วนอิง แต่หลิวซูชิงก็ยังคิดว่านี่เป็นแผนการสร้างกระแส ใช้ของพวกนี้สร้างกระแสให้ไต้ซือ ให้อำเภอซงอู่มีชื่อเสียงก็เท่านั้น ถึงยังไงเขาก็เคยเห็นวิธีแบบนี้มาแล้ว…
ดังนั้นหลิวซูชิงจึงไม่เห็นด้วยกันการขึ้นเขาไปขออักษรมากๆ แค่ไปดูเรื่องสนุกๆ แก้เซ็งเท่านั้น
“ถ้าเป็นแบบนี้ ทุกคนก็ไปด้วยกันเถอะ จำไว้ ขึ้นเขาแล้วอย่าวุ่นวายเหมือนครั้งก่อนอย่างเด็ดขาด รักษากฎไว้ด้วย เราจะขึ้นเขาไปพร้อมกับชาวบ้านจะได้ดูคึกคัก” ซุนก้วนอิงเอ่ย
ทุกคนพากันขานรับ…
ตอนที่ซุนก้วนอิงหาหวังโอ้วกุ้ยพบ หวังโอ้วกุ้ยยังคิดว่าจะมาหาเรื่องอีกแล้ว พอฟังคำพูดซุนก้วนอิงถึงวางใจลง เลยรวมทุกคนขึ้นเขาไปพร้อมกับชาวบ้าน…
“อมิตพุทธ พวกโยมมาทำอะไรกัน?” ฟางเจิ้งมองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง แต่ก็เดินเข้าไปต้อนรับ
ฟางเจิ้งชนะนักเขียนพู่กันจีนก่อน จากนั้นเป็นโจ๊กล่าปา พระโพธิสัตว์ในวัดศักดิ์สิทธิ์อีก ในที่สุดก็ค่อยๆ สร้างเป็นบารมีความน่าเชื่อถือในหมู่บ้าน นอกจากนี้ถานจวี่กั๋วกับหวังโอ้วกุ้ยยังเปลี่ยนความคิดของทุกคน ตอนนี้ทุกคนยอมรับฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการแล้ว ฟางเจิ้งเรียกทุกคนว่าโยมจนทุกคนคุ้นชินแล้ว
หวังโอ้วกุ้ยยิ้ม “ฟาง…” หวังโอ้วกุ้ยชะงักไป…
จะเรียกฟางเจิ้งหวังโอ้วกุ้ยก็ปวดใจ จะเรียกเจ้าอาวาสหรือสมภารเดิมทีก็ไม่มีอะไร ทว่าทุกคนคิดว่าควรจะเรียกหลวงจีนชรามากกว่า เรียกหลวงจีนน้อยแบบนี้มันไม่รื่นหู
เรียกชื่อฟางเจิ้ง? นี่คือนามทางธรรม เรียกไปก็ไม่มีอะไร แต่ปัญหาคือทุกคนคิดว่าเรียกแบบนี้ไม่เคารพฟางเจิ้ง โดยเฉพาะตอนที่มีคนนอกอยู่จะไม่ดีเอา
คิดไปคิดมา หวังโอ้วกุ้ยเอ่ยต่อ “ไต้ซือฟางเจิ้ง เอ่อ…”
“อมิตพุทธ โยมอย่าเรียกอาตมาว่าไต้ซือเลย อาตมารับไว้ไม่ได้” ฟางเจิ้งพูดจริง คนนอกพูดเขายังยอมรับผ่านๆ ไปได้ แต่คำว่าไต้ซือ คนธรรมดายังไม่ควรค่าแก่การรับไว้จริงๆ ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วเคยบอกไว้ว่าไต้ซือมีแรงกดดันหนักหนาเกินไป ถ้าไม่ได้บำเพ็ญเพียรตามหลักพุทธศาสนาก็ไม่มีใครกล้ารับ
ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งยังไม่คิดอะไร แต่เร็วๆ นี้พอได้เห็นของพวกนั้นที่เกี่ยวกับจรรยาบรรณทางพุทธศาสนาแล้วก็ได้ตระหนัก จะไปกล้าให้คนอื่นเรียกตนว่าไต้ซืออีกได้ยังไง?
หวังโอ้วกุ้ยกลุ้มใจ “นี่ก็ไม่ดี นั่นก็ไม่ดี แล้วจะให้เรียกว่ายังไง?”
ฟางเจิ้งตอบเบาๆ “โยมเรียกอาตมาว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งก็ได้ ใช้พระธรรมเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ใช้อาตมาเป็นแบบอย่าง”
……………