The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 125 เฉินจินขมขื่น
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 125 เฉินจินขมขื่น
“ออกมาไกลๆ แล้ว” เฉินหลงตะโกน
โครม!
แทบเป็นพริบตาเดียวประตูห้องถูกแรงระเบิดออก อากาศถ่ายเทเข้ามา ไฟลุกท่วมรุนแรงกว่าเดิม!
ไฟมากขนาดนี้ ข้างนอกจะมีคนเข้ามาได้ยังไง? จบสิ้นแล้ว
พวกเฉินหลงกับซูหงมีความคิดนี้วูบผ่านในใจ
ทว่ากลางเฟลวเพลิงปรากฏร่างเงาหนึ่ง ต่อมาร่างเงานั้นเดินออกมาจากกลางทะเลเพลิง ใช้กำปั้นชกใช้เท้าถีบวัตถุที่ไหม้ตรงปากประตูออกไปทั้งหมด ในนั้นเป็นคานบ้านไม้ที่ไฟเผาไหม้จนหมด เขาแบกคานบ้านแล้วโยนออกไป!
“ฮีโร่เหรอ? ไม้นั่นใช้สามสี่คนยังแบกไม่ไหวเลยนี่?” เฉินหลงตาต้าง
ซูหงได้สติกลับมา พอเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดก็ตะโกนทันที “ฟางเจิ้ง?! นั่นแกเหรอ?”
“อมิตาพุทธ โยม อาตมาเอง ไม่ต้องพูดแล้ว รีบออกไปเถอะ บ้านจะถล่มลงแล้ว” ฟางเจิ้งพูดพร้อมเดินเข้าไป จัดการกับเปลวเพลิงตามเส้นทาง แบกโอ่งน้ำมา ดึงผ้าห่มมาคลุมคนพวกนี้ แล้วยกโอ่งน้ำเทไปทั้งหมด
คนเหล่านี้ห่อด้วยผ้าห่ม ก้มตัวก้มหน้าวิ่งออกไป
ฟางเจิ้งถึงวางโอ่งน้ำลง คนเหล่านี้เพิ่งวิ่งไปข้างนอก อักษรคำกลอนคู่สุดท้ายกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ต่อมาได้ยินเสียงดังสนั่น บ้านถล่มลง!
ซูหงหันกลับไปมอง ฟางเจิ้งยังไม่ออกมา! จึงตกใจร้อง “ฟางเจิ้ง?! ฟางเจิ้ง?! แกโอเคไหม ฮือๆๆ อาทำร้ายแก! ฮือๆ…”
เฉินหลงกับภรรยาตาแดงเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะฟางเจิ้งปรากฏตัว ตอนนี้คนที่ถูกฝังข้างในคือพวกเขา! คนที่ตายคือพวกเขา! ผู้มีพระคุณดันสิ้นชีวิต จึงเสียใจ ร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น
แต่ตอนนี้เอง มีเงาคนหนึ่งหนีไปข้างหลังบ้านแล้ว
บ้านถล่มลงสร้างความตกใจแก่ผู้คนก็จริง แต่ฟางเจิ้งมีพละกำลังไม่น้อย ประกอบกับมีจีวรขาวจันทร์ปกป้อง แล้วมันจะฆ่าเขาได้ยังไง? พอเจ้านี่มั่นใจแล้วว่าพวกซูหงไม่เห็นไรก็อาศัยจังหวะวุ่นวายหนีไป ช่วยคนเป็นเรื่องดี แต่เมื่อรวมกับเรื่องที่อธิบายไม่ได้มากขนาดนี้คงจะพูดยากแล้ว
ฟางเจิ้งคิดไว้แล้วว่าหลังกลับไป ไม่ว่าใครถามจะไม่พูดอะไร! พวกคุณจะคิดยังไงก็คิดไป…
ตอนที่ฟางเจิ้งออกจากบ้านสกุลเฉิน รถดับเพลิงแล่นเข้ามา ฟางเจิ้งเองก็จัดการกับไฟมากขนาดนี้ไม่ได้เหมือนกัน เขาไปดูบ้านใกล้เรือนเคียงจนมั่นใจว่าไม่มีคนแล้วถึงวิ่งขึ้นเขาไป นั่งยองอยู่ในหิมะตรงปากทางขึ้นเขาอยู่นาน รอจนทุกคนลงเขาไปดับไฟหมดแล้วถึงเดินขึ้นเขาไปอย่างสงบนิ่ง
กลับขึ้นเขามา ฟางเจิ้งปิดประตูวัด เดินเข้าอุโบสถ เทียนไขยังติดไฟ เขานั่งขัดสมาธิลง สวดมนต์ อวยพรสำหรับปีใหม่ อวรพรให้ชาวบ้านตรงตีนเขา หวังว่าปีนี้ทุกคนจะปลอดภัย…
ตีนเขากลับคึกคัก รถดับเพลิงมาก่อนแล้ว ได้ยินว่ามีคนติดอยู่ข้างใน! พนักงานดับเพลิงกลุ่มหนึ่งจึงฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปทำการค้นหา ฝ่าเปลวเพลิง แถมแทบจะขุดดินอีกสามสิบนิ้วก็ยังไม่เจอร่างคน!
“หรือว่าถูกเผาเป็นจุณไปแล้ว?” ซูหงร้องไห้
“คุณผู้หญิงอย่าเพิ่งร้องไห้ครับ ไหนหลวงจีน ไหนคน…คุณดูข้างในสิ เอาเฟอร์นิเจอร์ออกมาแล้ว แม้แต่กระดูกยังไม่มีเลย” พนักงานดับเพลิงเขี่ยซากให้ดู
ซูหงมองตามไป ในนั้นไม่มีกระดูกคนจริงๆ และยังไม่มีศพ…เห็นดังนั้นเธอจึงสงสัย เห็นๆ อยู่ว่าฟางเจิ้งไม่ได้ออกมาตอนที่บ้านถล่มลง?
พนักงานดับเพลิงตบบ่าซูหง “คุณผู้หญิงครับ คุณน่าจะตกใจน่ะ เลยเกิดภาพหลอน”
“พวกเราเห็นกันทั้งหมดเลยนะ” ภรรยาเฉินหลงกล่าว
“นั่นคงจะเป็นภาพหลอนร่วมกัน” พนักงานดับเพลิงตอบ
ซูหงยังจะพูดบางอย่าง แต่เฉินหลงพลันดึงเธอไว้แล้วพูดเบาๆ “แม่ แม่เห็นภาพหลอนแล้วล่ะ เรื่องนี้น่ะมันแปลกเกินไป แม่ลองนึกถึงภาพคำกลอนคู่ ใช้มือเปล่าแบกคานบ้าน เดินออกมาจากทะเลเพลิงสิ คนทำแบบนั้นได้เหรอ? เรื่องนี้มันพูดยาก อธิบายไม่ได้ด้วย ยิ่งพูดยิ่งเป็นปัญหานะ…ผมว่าไต้ซือคงกลัวจะมีปัญหาเลยไปแล้ว ถึงไฟนี่จะแรง แต่ไต้ซือไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องไม่เป็นอะไรแน่ พอฟ้าสางแล้วพวกเราขึ้นเขาไปดูกัน เดี๋ยวก็จะรู้เอง”
ซูหงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้ง พยักหน้า ไม่ดื้อดึงให้ช่วยฟางเจิ้งออกมาอีก แต่บอกว่าตนอาจจะเห็นภาพหลอน เหมือนเห็นบางอย่างแต่จำไม่ได้แล้ว
ซูหงไม่วุ่นวายอีก เลยจัดการเรื่องง่ายขึ้น
ตอนนี้เองชาวบ้านต่างรีบกลับมา เฉินจินเห็นซูหง เฉินหลงรวมถึงภรรยาซูหงกับลูกชายเฉินหลงแล้วก็กระโจนเข้าไปกอดร้องห่มร้องไห้ เขากังวลมาตลอดทาง ตกใจจนแทบแย่!
เดิมทีซูหงยังโกรธอยู่ แต่เห็นเฉินจินในสภาพย่ำแย่แบบนี้ก็มีสีหน้าห่วงใยและกังวล ทันใดนั้นเองเปลวไฟมอดดับหมดแล้ว ทุกคนรอดชีวิต อยู่พร้อมหน้ากันก็ดีแล้ว…ส่วนบ้านถูกเผาจนหมดสิ้นก็สร้างใหม่! คนอยู่ก็มีทุกอย่างแล้ว!
หลังพนักงานดับเพลิงจัดการเรื่องทางนี่เสร็จก็แยกย้ายไป
หวังโอ้วกุ้ยรวมแรงงานคนช่วยกันชำระสะสางบ้านสกุลเฉิน ดูว่ายังมีของที่ใช้ได้อีกไหม
ครอบครัวเฉินจินก็ช่วยด้วยเหมือนกัน ยุ่งจนถึงช่วงบ่ายก็ส่งชาวบ้านด้วยความกระตือรือร้น
ครอบครัวเฉินจินมองซากบ้านพลางถอดถอนใจ
เฉินจินด่าทอเบาๆ “ต้องโทษฟางเจิ้ง ปีใหม่มัวธูปดอกแรกอะไรอยู่ได้…”
ป๊าบ!
เฉินจินถูกตบหัว!
เฉินจินถามด้วยความโมโห “ซูหง คุณทำอะไรเนี่ย?”
“ทำอะไรเหรอ?! ก็ตีคุณไง! จะฟาดคุณด้วย! ไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม? ลองด่าฟางเจิ้งอีกทีดูสิ? จะบอกให้นะเฉินจิน นับจากนี้ไปถ้าฉันได้ยินคุณด่าฟางเจิ้งอีก จะไม่ใช่แค่ตบแน่! ฉันจะเอารองเท้าฟาดคุณด้วย!” ซูหงยืนเท้าสะเอวด้วยท่าทีเหมือนกับมารดาผู้โหดร้าย
เฉินจินถูกข่มจนตะลึงค้าง สองคนอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นซูหงโหดแบบนี้! นี่ภรรยาเขาเหรอ? ปกติเขาว่ายังไงก็ว่าตามนั้นนี่? ทำไมวันนี้ถึงคัดค้าน?
เฉินจินรีบมองไปทางเฉินหลงลูกชายเขา “ลูกไม่สนใจหน่อยเหรอ? แม่ลูกกำลังเข้าข้างคนอื่นนะ!”
เฉินหลงตบบ่าเฉินจิน “พ่อ อย่าโกรธเลยน่า”
ในใจเฉินจินขยายออก คิดในใจว่า ‘ลูกก็ยังให้อภัยเรา เป็นห่วงเรา…”
“แม่พูดถูกแล้ว! แม่ รองเท้าไม่พอหรอก ผมจะช่วยด้วย!” เฉินหลงกล่าวต่อ จากนั้นยืนอยู่ข้างหลังซูหง
เฉินจินตะลึงงัน นี่มันอะไรกัน? ไฟไหม้ครั้งใหญ่ทำให้ทุกคนก่อกบฏอย่างนั้นเหรอ?
เฉินจินมองภรรยาเฉินหลง แต่เธอยืนอยู่ข้างหลังซูหงแล้ว พูดเก้ๆ กังๆ “พ่อ แม่พูดถูกนะ”
“พะ…พวกเธอ…จะก่อกบฏกันเหรอ? โถชีวิต…” เฉินจินโกรธจนกระทืบเท้า ตอนนี้เองกางเกงตึง พอก้มหน้ามองก็เห็นหลานชายกอดเขาไว้
หลานชายพูดขึ้น “ปู่ ไม่โกรธ…”
เฉินจินอุ้มหลานขึ้นมา “ก็มีหลานที่ดีกับฉัน รู้จักเป็นห่วงปู่”
………………………