The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 146 สงสัย
ดังนั้นจึงต้องถูกลงโทษ!
ส่วนหงเสียง ตู้เหล่าก็มีเจตนาเห็นแก่ตัวเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยถึงเขา ตู้เหล่ารู้ดีมากว่าถ้าเอ่ยถึงหงเสียง ชีวิตนี้หงเสียงต้องจบสิ้นจริงๆ แน่ อย่างเบาก็ถูกไล่ออกจากวัด
เห็นฟางเจิ้งไม่แค่ไม่สืบสาวเอาเรื่องหงเสียง กระทั่งไม่ไต่ถามอย่างละเอียด ตู้เหล่าจึงอดปลงอนิจจังอยู่ในใจตลอดไม่ได้ ‘มีน้ำใจแบบนี้ เป็นหลวงจีนน้อยที่อายุแค่นี้จริงๆ เหรอ? ความต่างระหว่างคนกับคนไม่ได้ยิ่งใหญ่ธรรมดาจริงๆ’
คิดได้ดังนั้นตู้เหล่าก็มีแต่ความปลงอนิจจังอยู่ภายใน จะกล้าไม่พอใจ?
คนนอกไม่รู้ความคิดฟางเจิ้ง แต่เห็นตู้เหล่าเดินตามหลังด้วยความเคารพ ไม่มีท่าทีบ่นแม้แต่น้อยเลยไม่พูดอะไร ที่มากกว่านั้นคือสนทนากันเรื่องต้นกกข้ามฟาก ถึงยังไงนี่ก็น่าตกตะลึงเกินไป!
กลุ่มคนเดินตามฟางเจิ้งเป็นขบวนใหญ่ บ้างมาสอดรู้สอดเห็น บ้างมาถ่ายรูป พูดคุยสัพเพเหระ คุยโม้ หรือหาวก็มี…เวลานี้ครึกครื้นเป็นพิเศษ
ส่วนหงเสียงเตรียมตัวถูกลากออกมาตำหนิต่อว่านานแล้ว จากนั้นชื่อเสียงย่อยยับ ถูกไล่ออกจากวัด แต่รออยู่นานคนไปหมดแล้วถึงพบว่าไม่มีใครว่าอะไรเขา!
หงเสียงอึ้งงัน มองกลุ่มคนไกลๆ ด้วยอาการเหม่อเล็กน้อย ผ่านไปนานถึงเกาหัวเดินตามไป เพียงแต่ว่าเกิดคลื่นกระเพื่อมในใจ ตอนนี้เขาเห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่ก่อนหน้านี้คิดไม่ออกชัดเจนขึ้นแล้ว
เวลานี้เองมีกลุ่มคนเดินลงมาจากเขา คนนำหน้าคือหลวงจีนไป๋อวิ๋น! ข้างหลังเป็นนักบวชจากวัดต่างๆ รวมราวๆ ร้อยรูป!
กลุ่มคนสองกลุ่มหยุดกลางคัน จากนั้นตะลึงงัน
ตอนนี้เองเฮยเกอพลันตรงเข้ามาร้องเสียงดัง “ไต้ซือไป๋อวิ๋น ท่านตัดสินผมเถอะ พวกเราเป็นคนขับเรือ จะรับใครไม่รับเป็นสิทธิ์ของพวกเรา แต่หลวงจีนนี่ลงโทษตู้เหล่า ตู้เหล่าอายุปูนนี้แล้ว…”
“หลิวเฮยจื่อ หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” ตู้เหล่าตรงเข้ามาอุดปากหลิวเฮยจื่อไว้
หลวงจีนไป๋อวิ๋นมองหลิวเฮยจื่อที่ทำหน้าไม่ยอม ก่อนมองฟางเจิ้งกับตู้เหล่า ตู้เหล่ามีสีหน้าโกรธและละอายใจ ฟางเจิ้งมีสีหน้าสบายๆ ยิ้มอบอุ่นเต็มไปด้วยความร่าเริง เอกลักษณ์อ่อนโยนยากจะให้คนมองว่าเขาอยู่กับนักบวชด้วยกัน ที่มากกว่านั้นคือจะมองข้ามจีวรและฐานะอีกฝ่ายไป แต่มองว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มร่าเริงคนหนึ่ง
หลวงจีนไป๋อวิ๋นพยักหน้าให้ฟางเจิ้งเล็กน้อย ก่อนประนมสองมือ “อมิตาพุทธ อาตมาไป๋อวิ๋นเจ้าอาวาสวัดเมฆาขาว นักบวชท่านนี้แปลกตา ขอถามหน่อยท่านบำเพ็ญเพียรที่วัดใด ชื่อแซ่อะไร?”
ฟางเจิ้งมองไต้ซือที่มีเมตตาตรงหน้าเหมือนเห็นหลวงจีนหนึ่งนิ้วรางๆ ใบหน้าเมตตาแบบนี้ ดวงตาใสสะอาดชั่วกาลนานอย่างยิ่ง เหมือนกับน้ำแร่ในบึงน้ำ หลวงจีนหนึ่งนิ้วเคยบอกว่าดวงตาคือหน้าต่างของจิตใจคน คนที่มีดวงตาใสสะอาดจะต้องมีจิตใจงดงาม เป็นนักบวชต้องชะล้างจิตใจทุกคืนวัน
หลวงจีนไป๋อวิ๋นตรงหน้าเป็นพระอาจารย์ที่บรรลุธรรมอย่างเห็นได้ชัด ฟางเจิ้งจึงรู้สึกเคารพเข้าไปใหญ่ ประนมสองมือตอบ “อมิตาพุทธ อาตมาฟางเจิ้งเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี สวัสดีครับหลวงจีนไป๋อวิ๋น”
“อ๋อ? ท่านคือฟางเจิ้งเหรอ?!” พลันมีเสียงร้องดังขึ้นในกลุ่มคน ก่อนหน้านี้หลวงจีนไป๋อวิ๋นยังถามถึงฟางเจิ้ง แต่ไม่มีใครรู้จัก ไม่คาดคิดเลยว่าเณรที่ใช้ต้นกกข้ามฟากจะเป็นฟางเจิ้ง!
ดูจากวัยหนุ่มของฟางเจิ้ง เชื่อมไปถึงต้นกกข้ามฟาก ทุกคนต่างก็มีความคิดในใจแล้ว
ตอนนี้เองหลวงจีนค่อนข้างอ้วนรูปหนึ่งตรงเข้ามา “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ทำไมท่านไม่นั่งเรือ แต่ใช้ต้นกกข้ามฟากล่ะ? ทำแบบนี้อวดอุตริไปหน่อยหรือเปล่า? ถ้าอยากมีชื่อเสียงจริงๆ ก็ไม่ควรทำในพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิใต้ภูเขาวัดเมฆาขาว?”
สิ้นเสียงทุกคนส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง เมื่อครู่เพียงแค่ตกใจกับอภินิหารต้นกกข้ามฟากของฟางเจิ้ง ตอนนี้มาตรึกตรองดูดีๆ แล้วมีเรือไม่นั่ง ทำไมต้องใช้ต้นกกข้ามฟากต่อหน้าคนมากขนาดนี้? ถ้าไม่ใช่อวดอุตริแล้วจะเรียกอะไร? ละโมบในชื่อเสียงนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดี คนแบบนี้ไม่ควรเป็นเจ้าอาวาส
แววตาทุกคนพลันฉายแววแปลกใจ เมื่อครู่ยังมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นกระทั่งเคารพ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นดูถูกแล้ว
ได้ยินดังนั้นฟางเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก็อยากนั่งเรือเหมือนกัน แต่ต้องมีเรือให้เขานั่งสิ! เขาจะพูดบางอย่าง แต่ตู้เหล่าชิงเอ่ยขึ้นก่อน เดินเข้ามาแสดงความเคารพนักบวชทุกรูป “อย่าโทษหลวงพี่ฟางเจิ้งเลย โทษผมเถอะ อายุเยอะแล้วสติเลอะเลือน ไปเชื่อคำใส่ร้าย คิดว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งเป็นคนไร้ความสามารถ หลอกคนอื่นเขาไปทั่ว กลัวว่าเขามาวัดเมฆาขาวจะเป็นการดูหมิ่นแดนศักดิ์สิทธิ์ เลยให้พวกลูกเรืออย่ารับเขาขึ้นเรือ เขาก็หมดหนทางแล้วถึงใช้ต้นกกข้ามฟาก”
พูดจบทุกคนต่างเข้าใจแจ่มแจ้ง ทว่าหลวงจีนค่อนข้างอ้วนยังไม่ยอม นี่เท่ากับหักหน้าเขารึเปล่า? ใบหน้าแก่ชราแดงเล็กน้อย คว้าไว้แน่นไม่ยอมวางมือ ไล่ถามต่อ “พวกโยมไม่รับเขาข้ามฟากก็โทรศัพท์มาฝั่งนี้ได้นี่ ฝั่งนี้ประสานงานได้ ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย? อวดอุตริชัดเจนเกินไป”
ฟางเจิ้งได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้น กล่าวในใจ ‘ไอ้อ้วนนี่ป่วยรึเปล่า? ฉันมาดีๆ ไม่ได้หาเรื่องเขาเลยนี่ ทำไมต้องกัดเราแบบนี้? อีกอย่างจะมีสักกี่คนที่รู้เบอร์วัดเมฆาขาว’
ฟางเจิ้งจะพูด แต่หลวงจีนหงเหยียนเอ่ยก่อน “อมิตาพุทธ หลวงพี่หงจิงพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ไม่ใช่ทุกคนที่รู้เบอร์วัดเมฆาขาว อีกอย่างแม้พวกเราจะเป็นคนนอกพื้นที่ แต่บนโลกนี้คนเรายากจะเลี่ยงกัน วัดเมฆาขาวจัดพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิส่งบัตรเชิญไป ถ้าใครมาไม่ทันเวลาก็ตาม ต่อให้หลวงจีนไป๋อวิ๋นไม่ถือสา แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ผลกระทบภายหลังเป็นยังไงทุกคนรู้แก่ใจดี เป็นใครก็ต้องร้อนรนกันทั้งนั้น”
“หลวงจีนหงเหยียนพูดถูก แต่ว่าอาตมามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ขอถามหลวงพี่ฟางเจิ้ง นักบวชที่มาวัดเมฆาขาวมีนับไม่ถ้วน ทำไมถึงมีคนจ้องเล่นงานท่าน? เหมือนดั่งคำแมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้ช่อ ในนี้จะต้องมีคำอธิบายบ้างสิ?” หลวงพี่หงจิงไม่กล้าเถียงหลวงจีนหงเหยียนที่มีคุณธรรมสูงส่ง จึงเบนหัวหอกไปยังฟางเจิ้งอีกครั้ง
ฟางเจิ้งตอบ “ความจริงแล้วเรื่องนี้อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อาตมาดูแลวัดเอกดรรชนีมา นี่เป็นการลงเขาครั้งแรก ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีปัญหากับใคร”
“แปลก ในเมื่อหลวงพี่ไม่มีปัญหากับใคร แล้วปัญหามาได้ยังไง ทำไมอีกฝ่ายถึงเล่นงานท่าน? ทำไมไม่เล่นงานอาตมา? อาตมาคิดว่าหลวงพี่ควรจะคิดทบทวนดีๆ ว่าไปทำไม่ถูกไม่ควรมารึเปล่า” หลวงจีนหงจิงกล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ้มอย่างมีชัย เพราะเขาเห็นว่าฟางเจิ้งเหมือนจะพูดไม่ออกเล็กน้อย
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มเหมือนกัน เมื่อครู่เพิ่งแสดงละครยังไม่ถามเหตุผลให้ชัดเจนเลย ตอนนี้จะให้เขาพูด จะพูดอะไรล่ะ?
ฟางเจิ้งกำลังกลัดกลุ้ม ตู้เหล่าถอนหายใจ รู้ว่าเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้ ขณะจะบอกความจริงนั้น กลับได้ยินคนตะโกนเสียงดัง “ผมพูดเรื่องนี้เอง!”
……………………