The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 154 พระธรรมในชีวิต
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 154 พระธรรมในชีวิต
ดังนั้นฟางเจิ้งเลยตั้งมั่นว่าไม่ว่ายังไงก็จะไม่ขึ้นไป!
ทว่าปากบอกอีกอย่างว่า “ขอบคุณทุกท่านที่อธิบายให้อาตมาฟัง แต่อาตมาก็ขอปฏิเสธคำเดิม”
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านปฏิเสธก็คงมีเหตุผลใช่ไหม” มีคนถามด้วยความไม่ยอม
ฟางเจิ้งตอบอย่างมีหลักการ “เหมือนอย่างที่หลวงพี่อี้หังว่าไว้ กฎก็คือกฎ จะฝ่ากฎเพราะอาตมาคนเดียวได้ยังไง? อาตมาไม่ขอประชัน อีกอย่างอาตมาอ่านคัมภีร์มาน้อยมาก ความเข้าใจน้อยยิ่งกว่า ขึ้นไปก็พูดอะไรไม่ได้” ฟางเจิ้งไม่ปิดบังตรงจุดนี้ ไม่มีความรู้ไม่กลัว แต่ไม่มีความรู้แล้วยังดันทุรังอีก อันนี้ต่างหากน่ากลัว
ทุกคนมองหน้ากัน หลายปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับความเห็นแบบนี้ ปกติทุกคนจะแก่งแย่งกัน ครั้งนี้ทุกคนโน้มน้าวแล้วก็ยังไม่ยอมขึ้นไป หรือว่าจะไม่มีความรู้ตุนไว้จริงๆ? กระดากอายที่จะขึ้นเวที? แถมยังเลี่ยงโดยบอกว่าไม่เคยอ่านคัมภีร์อีก? ถ้าไม่เคยอ่านคัมภีร์ เขาจะพูดความเข้าใจที่มีหลักการแบบนี้ออกมาได้ยังไง?
แม้จะคิดแบบนี้ แต่ไม่มีใครพูดออกไป
คิดได้ดังนั้น นัยน์ตาทุกคนที่มองฟางเจิ้งเปลี่ยนเป็นซับซ้อนเล็กน้อย บางคนชื่นชมที่ฟางเจิ้งเปิดเผย บางคนเชื่อฟางเจิ้ง ดังนั้นเลยหวังให้ฟางเจิ้งผู้ไร้ความรู้คนนี้มุมานะพยายามจนได้ดี ใช้ต้นกกข้ามฟากได้ มีหรือจะตระหนักรู้พระธรรมให้เก่งกาจไม่ได้?
หลวงจีนไป๋อวิ๋นกล่าวอีกครั้ง “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านมั่นใจนะว่าจะสละสิทธิ์?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าทันที “ครับ ขอสละสิทธิ์”
หลวงจีนไป๋อวิ๋นพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่อี้หัง เริ่มได้เลยเถอะ”
อี้หังได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย ประนมสองมือเอ่ย “ศิษย์รับคำสั่ง”
หงจินเห็นดังนั้นก็พลันดีใจยกใหญ่ จนกระทั่งอี้หังเดินขึ้นเวทีอภิปราย เขาก็ยังรู้สึกเหมือนฝัน ในมุมมองเขา ครั้งนี้ไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ ใครจะไปรู้ล่ะว่าฟางเจิ้งจะสละสิทธิ์เอง นี่เป็นลาภลอย! ทว่าหงจินก็ค่อนข้างคิดมาก มองฟางเจิ้งที่ฟังอย่างตั้งใจพลางพึมพำในใจ ‘เขาใจกว้างจริงๆ หรือว่าไม่มีความรู้อะไรเลยกันแน่?’
บนเวที อี้หังกล่าวถึงคัมภีร์อวตังสกสูตร! เขาอายุเท่านี้สิ่งที่ตระหนักได้ย่อมมีจำกัด ทว่าอี้หังฉลาดมากที่เลี่ยงกล่าวถึงคัมภีร์อวตังสกสูตรทั้งหมด แต่เลือกมาอธิบายเล็กน้อย
“อาตมาท่องคัมภีร์อวตังสกสูตรทุกคืน เกิดความเข้าใจเล็กน้อย โดยเฉพาะประโยค ‘หนึ่งคือมาก มากก็คือหนึ่ง’ ปุถุชนถูกตัวเลขในนี้ปิดบังความจริง แต่กลับไม่รู้ว่าหนึ่งกับทุกสิ่งในนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเลข แต่หมายถึงหนึ่งกับทุกสรรพสิ่ง ทุกสรรพสิ่งหวนคืนสู่หนึ่ง หนึ่งกลายเป็นทุกสรรพสิ่ง หวนคืนสู่ฟ้าดิน ในฟ้าดิน จิตใจเรามีเพียงหนึ่งเดียว ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนพัฒนามาจากจิตใจ จิตใจถึง ทุกสรรพสิ่งกำเนิด…” อี้หังอธิบายอย่างครบถ้วนเต็มยี่สิบนาที เล่าถึงจิตใจเพียงหนึ่งเคลื่อนความคิดของทุกสรรพสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่งมาก
ทุกคนได้ยินต่างพยักหน้าแอบชื่นชม กระทั่งยังปรบมือตลอด ซึ่งไม่เกิดขึ้นในตอนที่พวกเจ้าอาวาสโต้วาทีกัน
เมื่ออี้หังเล่าจบและยืนขึ้นแสดงความเคารพนั้น ทุกคนต่างปรบมือเสียงดังราวฟ้าผ่าให้เขา!
หงจินตื่นเต้นยิ่งกว่า ปรบมือจนแทบจะพองบวม
อี้หังพอใจกับการตอบรับของนักบวชทุกรูปข้างล่างมาก เพียงแต่ว่าจะชำเลืองตามองฟางเจิ้งที่ปรบมือเช่นกันเป็นบางครั้ง
หลวงจีนไป๋อวิ๋นยิ้ม “หงจิน อารามไผ่ทองของพวกท่านมีคนสืบทอดต่อแล้วล่ะ”
หงจินหัวเราะเสียงดัง “แน่นอนครับ แน่นอน…”
ทุกคนเห็นหงจินยิ้มเบิกบานใจก็ยิ้มตามในใจ การโต้วาทีก่อนหน้าก็คือโต้วาที หลังโต้วาทีจบทุกคนยังเป็นเพื่อนกัน ต่างดีใจแทนหงจินด้วย
หลวงจีนไป๋อวิ๋นพูดกับอี้หัง “อี้หัง ท่านมีอะไรจะพูดไหม?”
อี้หังประนมสองมือแสดงความเคารพ “อาตมาพูดแค่ความเข้าใจของตัวเอง อาตมาอยากให้เจ้าอาวาสฟางเจิ้งแสดงความเห็นสักเล็กน้อย”
สิ้นเสียง ทุกคนต่างงงวย ไม่มีใครคาดคิดว่าอี้หังจะร้องขอแบบนี้ ทว่าจากนั้นทุกคนก็เข้าใจ…
“อี้หังเป็นคนดีนะ อาศัยโอกาสนี้ให้ฟางเจิ้งขึ้นเวทีแบ่งปันประสบการณ์ จะได้มีชื่อเสียงไปด้วยกันไง”
“ใจบุญมีเมตตา รู้แจ้งง่ายด้วย อนาคตไม่มีขีดจำกัด…”
…………
ทุกคนคิดว่าอี้หังตอบแทนบุญคุณที่ฟางเจิ้งสละสิทธิ์ให้ แต่กลับไม่รู้ความคิดจริงๆ ของอี้หังว่าอยากหยั่งเชิงฟางเจิ้งอีกครั้ง!
ฟางเจิ้งมึนงงทันที ให้เขาขึ้นไป? เขาเลี่ยงมาตั้งนานดันโดนซะได้ ความซวยมาตกที่เขาอีกแล้ว! เขาเคยได้ยินคัมภีร์อวตังสกสูตรมาก่อน เคยอ่านด้วย แต่อ่านแค่เล็กน้อย ถึงยังไงในอินเทอร์เน็ตก็เป็นข้อมูลสั้นๆ จะอ่านคัมภีร์ฉบับเต็มก็เหนื่อยเกินไปอีก
ทว่าสิ่งที่ฟางเจิ้งชื่นชมคือ อี้หังพูดตรงไหนไม่ดีบ้าง? พูดถึงท่อนหนึ่งคือมาก มากก็คือหนึ่ง! ตอนนั้นฟางเจิ้งเคยอ่านท่อนนี้มาก่อน และก็มีความเข้าใจของตัวเองเล็กน้อย เพียงแต่ว่าเนื่องจากอ่านคัมภีร์น้อยเกินไป จึงไม่รู้ว่าที่ตนเข้าใจถูกต้องไหม ถึงยังไงเขาก็อยู่บนเขา จึงตระหนักรู้ตอนที่มองภูเขา มองน้ำ มองก้อนหิน ไม่ใช่ความรู้จากในคัมภีร์ เคยเห็นความเข้าใจของคนอื่นในอินเทอร์เน็ตมาแล้ว ซึ่งไม่มีใครเข้าใจเหมือนเขาเลย
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงไม่มีความมั่นใจเล็กน้อย
ตอนนี้อี้หังกดดันเขา เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ฝืนใจขึ้นเวทีไป
เห็นฟางเจิ้งขึ้นเวทีจริงๆ อี้หังก็รู้สึกสำนึกเสียใจเล็กน้อย ตรึกตรองว่า ‘หรือว่าเขาจะมีความสามารถจริงๆ? แต่ว่าต่อให้มีจริงๆ ฉันก็ทำด้วยเจตนาดี เขาโทษฉันไม่ได้ ถ้าไร้ความสามารถ หึๆ…ฉันก็แค่เปิดโปงเขาเท่านั้น’
ฟางเจิ้งขึ้นเวทีมาแล้ว แสดงความเคารพหลวงจีนไป๋อวิ๋น ก่อนประนมสองมือเคารพทุกคน จากนั้นนั่งขัดสมาธิลง สูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มน้อยๆ กล่าวในใจว่า ‘ช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว หลับตาพูดมั่วไปแล้วกัน ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ช่างมัน’
ดังนั้นฟางเจิ้งกล่าวขึ้น “อาตมามีความเห็นตรงท่อนหนึ่งคือมาก มากคือหนึ่งในคัมภีร์อวตังสกสูตรแตกต่างไปเล็กน้อย”
พูดจบทุกคนต่างมึนงง ขึ้นมาก็บอกว่ามีความเข้าใจต่างกัน นี่จะ PK กับอี้หังอย่างนั้นเหรอ! ทันใดนั้นทุกคนต่างคึกคัก อยากรู้ว่าฟางเจิ้งเข้าใจแบบไหนมาได้กันแน่!
ฟางเจิ้งเอ่ย “พุทธศาสนาบอกว่าทุกชีวิตทุกข์ยาก ทว่าความทุกข์ยากของทุกชีวิตอยู่ที่ใด? วัดเอกดรรชนีของอาตมากันดารมาก คนที่ขึ้นเขามาในทุกปีนับนิ้วได้ อาจารย์ของอาตมามรณภาพไปแล้ว ตอนนี้เหลืออาตมารูปเดียว ได้แต่อยู่ดูแลวัดว่างเปล่า ตระหนักรู้ในสิ่งที่ตนไม่ค่อยเข้าใจ จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมาป่าตัวหนึ่งกระรอกตัวหนึ่งเข้ามาในชีวิตอาตมา อาตมาถึงกลับมาร่าเริงอีกครั้ง! หมาป่ากินข้าวอย่างสบายใจ กระรอกกินอิ่มหนำสำราญ บางครั้งก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน ทุกวันไม่มีความทุกข์ เอ้อระเหยอิ่มอกอิ่มใจ ทว่าคนเราต่างไป คนหิวก็ทุกข์ อิ่มแล้วอยากกินของดีๆ ก็ทุกข์ ไม่มีลูกทุกข์ มีลูกพอเหนื่อยก็ทุกข์…ทุกชีวิตล้วนมีความทุกข์ แต่ทำไมสัตว์ถึงมีแต่ความสุข? จะอธิบายยังไง?
เหมือนอย่างที่หลวงพี่อี้หังบอก ทุกสรรพสิ่งเกิดจากจิตใจ ทุกสรรพสัตว์เกิดจากจิตใจ ทุกอย่างมาจากจิตใจ จิตใจมีเพียงหนึ่ง ทว่าจิตใจกลายเป็นความทุกข์ได้ไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นพุทธศาสนาบอกว่าหนึ่งคือมาก แต่มากคือหนึ่ง อาตมาคิดว่าการละความทุกข์ เปลี่ยนความทุกข์มากมายให้เป็นหัวใจบริสุทธิ์ต่างหาก ถึงจะหลุดพ้นอย่างแท้จริง ถึงจะมีอิสระ!”
ฟางเจิ้งพูดจบ ทุกคนต่างตาค้าง เงียบงัน กระทั่งตื่นตะลึง!
…………………