The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 162
“นายมีบุญกุศลอยู่กับตัว ย่อมรู้สึกถึงแรงกรรมดีกว่าเมื่อก่อน นี่ปกติมาก ไม่อย่างนั้นนายคงมองไม่เห็นความดีชั่วจากแววตาและการกระทำของอีกฝ่ายหรอก ทุกคนแสดงละครได้ ต่อให้ไม่ตั้งใจเป็นพิเศษก็ยังทำโดยไม่รู้ตัวได้ ส่วนตอนนี้นายรู้สึกถึงกลิ่นอายบาปกรรมกับแรงกรรมแล้ว! นั่นหมายความว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนดี!” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งใจสั่นไหววูบหนึ่ง ระบบบอกว่าไม่ใช่คนดีก็ต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน! จึงถามว่า “พูดแบบนี้ อาตมาต้องช่วยให้คนกลับใจอีกใช่ไหม?”
แต่ระบบเงียบงัน ผ่านไปนานถึงเอ่ยมาประโยคหนึ่ง “พุทธศาสนาควรโปรดผู้ที่ควรโปรด!”
ฟางเจิ้งตะลึงงัน หมายความว่าไง? แล้วอย่างไหนคือควรช่วยหรือไม่ควรช่วย? เมื่อถามระบบ ผลคือระบบกลับเงียบ ฟางเจิ้งมึนงง ไม่เข้าใจความหมายในนั้นเลย
ขณะที่ฟางเจิ้งเบนความสนใจไปทางอื่นนั้น ดวงตาเขาพลันแดงก่ำ!
“อย่าให้บอกเป็นครั้งที่สอง ฉันจะให้พวกแกได้ยังไง ยังไงก็ต้องคืนพวกฉันมา! ขาดแม้แต่แดงเดียวก็ไม่ได้!” คนหัวทองตัวเตี้ยพูดพลางแย่งเงินมาจากมือผู้สูงอายุคนหนึ่ง ผู้สูงอายุคนนั้นโกรธจนตัวสั่นแต่กลับไม่พูดอะไร
“ได้ยินรึเปล่า? คิดว่าพวกเราจะให้เงินพวกแกจริงๆ เรอะ? อย่าฝันไปหน่อยเลยแม่ง พวกแกอยู่แบบนี้แหละ ควรจนๆ ไปชั่วชีวิต!” คนหัวทองร่างกำยำพูดพลางเริ่มแย่งเงินคืนมา
พวกคนหนุ่มส่วนใหญ่ในหมู่บ้านสะพานบูรพาออกไปรับจ้างกันหมด ส่วนใหญ่ที่เหลือเป็นคนชราและเด็ก หญิงที่แต่งงานแล้วมีน้อย มีผู้ชายวัยหนุ่มแน่นอยู่สามถึงห้าคน แต่ก็ค่อนข้างขี้ขลาด ไม่กล้าเอาเรื่อง ได้แต่มองพวกคนหัวทองใช้ประโยชน์จากพวกเขาแล้วก็เริ่มแย่งเงินคืนไป
“เอามา!” คนหัวทองคนหนึ่งเข้ามาตรงหน้าเด็กหญิง
เด็กหญิงตกใจจนถอยหลัง ส่ายหน้ารัวๆ พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “หนูไม่ได้เอาไป…”
“ไม่ได้เอาไปเหรอ? แล้วในอกเสื้อแกนั่นน่ะอะไร? เอาออกมา!” ว่าจบคนหัวทองก็คว้ากล่องเครื่องเขียนในอกเสื้อเด็กหญิงมา เธอตกใจจนร้องไห้ทันใด ทว่ามือเล็กยังคงจับกล่องเครื่องเขียนเอาไว้แน่น “พี่ หนูไม่ได้เอาไปจริงๆ หนูเพิ่งมาเอง ขอร้องล่ะ นี่กล่องดินสอหนู อย่าแย่งของหนูไป…ฮือๆ…”
“ร้องไห้หาอะไรวะ ซ่อนเงินไว้ในกล่องล่ะสิ! เอาออกมา!” คนหัวทองดึงกล่องเครื่องเขียนออกมา แต่เด็กหญิงรีบโผตามมาด้วย คนหัวทองโกรธแล้วจึงด่าทอ “ไอ้เด็กเปรต อยากขึ้นสวรรค์รึไง! กล่องดินสอ…เวรเอ๊ย คืนให้แม่งก็ได้!” คนหัวทองยกมือททำท่าจะทุ่มกล่องเครื่องเขียนลงพื้น
พริบตานั้นจิ่งเหยียนโกรธแล้ว สาวเท้าปรี่เข้าไป
ทว่ามีคนเร็วกว่าเธอ!
หมับ!
ได้ยินเสียงดังฟังชัด คนหัวทองรู้สึกแค่ว่าข้อมือถูกเหล็กรัดไว้ ทุ่มมือลงไม่ได้ จึงหันไปมองก็เห็นหลวงจีนในจีวรขาว หน้าตาเหี้ยมเกรียม กำลังจ้องตาเขม็งพร้อมด้วยความโมโหไม่มีสิ้นสุด! แววตานั้นทำเอาเขาใจสั่น เหมือนอย่างที่ว่าไว้คนจนกลัวคนมีอำนาจ แต่คนมีอำนาจกลัวตาย ความรู้สึกที่หลวงจีนตรงหน้ามอบให้เขาคือความตายนี้เอง!
“กะ…กะ…แกจะทำอะไร?” คนหัวทองถาม
ฟางเจิ้งพูดทีละคำ “ปล่อย! มือ!”
คนหัวทองลดมือลงไม่ได้ มือที่จะทุ่มของถูกบีบไว้แน่น ตนพูดเสียงสั่นๆ รู้สึกเสียหน้าจึงยืดคอขึ้นเพื่อศักดิ์ศรี เอ่ยว่า “ถ้าไม่ปล่อยล่ะ…อ๊าก! หัก หัก! หักแล้ว…เจ็บๆๆ…ปล่อยแล้ว ฉันปล่อยมือแล้ว…”
คนหัวทองรู้สึกว่าอีกฝ่ายพลันออกแรงมือ ข้อมือตนแทบจะหัก! เจ็บจนน้ำตาร่วงลงมาแล้ว
กล่องเครื่องเขียนร่วงลงมา ฟางเจิ้งใช้มือรับไว้แล้วสะบัดมืออีกข้าง คนหัวทองรู้สึกแค่ว่ามีแรงมหาศาลแล่นเข้ามา ตัวเขาถอยไปเจ็ดแปดก้าวอย่างไร้การควบคุมแล้วถึงล้มนั่งลงกับพื้น
คนหัวทองเหมือนได้ยินเสียงรางๆ ว่ามีคนกำลังหัวเราะเขา ไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ว่าเป็นพวกชาวบ้านแน่ๆ! กระทั่งพี่น้องของเขายังหัวเราะด้วย เขาเสียหน้าป่นปี้หมดแล้ว! จากนี้จะอยู่ต่อไปยังไง?
เขามองหลวงจีนนั่นอีกครั้ง ความโกรธยิ่งมากกว่าเดิม อีกฝ่ายไม่มองเขาเลย แต่กลับ…
ฟางเจิ้งสะบัดคนหัวทองไปแล้วก็ยิ้มบางๆ นั่งยองลงวางกล่องเครื่องเขียนลงในมือเด็กหญิงที่ร้องไห้โฮ ยิ้มพูดขึ้นว่า “นี่คือของที่อาตมาให้หนู ไม่มีใครเอาไปได้”
“ขอบคุณค่ะ…ขอบคุณหลวงพี่” เด็กหญิงน้อยสะอื้นไห้ ทว่าใบหน้ากลับแย้มยิ้ม ดูกะทันหันไปหน่อย แต่ฟางเจิ้งเห็นแล้วหัวใจสลาย! เขาเป็นเด็กกำพร้า ถึงไม่มีใครรังแกเขาในหมู่บ้าน แต่ก็เคยถูกคนรังแกที่โรงเรียน เครื่องประดับไม้ที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วทำให้เมื่อปีนั้นก็ถูกเพื่อนแย่งไป ซ้ำยังหัวเราะเยาะเขา ผลคือเขาต่อยกับเพื่อนคนนั้นจนเข้าโรงพยาบาล เขารู้ถึงความเจ็บปวดเวลาของที่ตนรักถูกคนแย่งไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร…
ฟางเจิ้งขยี้หัวเด็กหญิงน้อยเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องร้อง เด็กดี ไม่เป็นไรแล้ว”
พวกชาวบ้านเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก ชาวบ้านที่กำหมัดแน่นเตรียมเข้าปะทะคลายหมัดออก แววตาที่มองฟางเจิ้งเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ คนคนนี้ให้ความเคารพกับพวกเขาเป็นครั้งแรก คนคนนี้ออกหน้าปกป้องพวกเขา! บุญคุณครั้งนี้ทำให้พวกชาวบ้านรู้สึกอบอุ่นในใจ ความอึมครึมไม่มีชีวิตชีวาภายในใจตอนแรกถูกกระตุ้นอีกครั้ง ราวกับมีของบางสิ่งถูกระเบิดกระจาย
ตอนนี้จิ่งเหยียนเพิ่งได้สติกลับมา มองเห็นภาพนี้ รู้สึกเพียงว่าช่างสวยงามมาก!
หลวงจีนจีวรขาวกว่าหิมะนั่งยองอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มอบอุ่นดั่งแสงตะวัน ยื่นมือออกไปขยี้หัวเด็กหญิงตัวน้อยเสื้อผ้าขาดวิ่นพลางปลอบขวัญ เด็กหญิงมีความสุขกับความห่วงใยอย่างนี้มาก เหมือนกับลูกแมวบาดเจ็บตัวหนึ่งได้รับการดูแล ความตื่นกลัวกำลังสลายไป
จิ่งเหยียนบันทึกภาพนี้ไว้ในมือถือ เธอพลันรู้สึกว่าบางทีหลวงจีนรูปนี้อาจไม่ได้หล่อเหลาที่สุด แต่จิตใจงดงามจริงๆ บางทีพระธรรมของเขาอาจจะยังไม่ลึกล้ำ ทว่าเป็นคนจิตใจดีงามและงดงาม แบบนี้ก็พอแล้ว เธอพูดขึ้นตามจิตใต้สำนึกว่า “ภาวะอันแท้จริงของข้านั้นคือพุทธ…” เธอไม่รู้เหมือนกันว่าหมายความว่ายังไง เพียงแค่พูดไปตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตะลึงเล็กน้อย นัยน์ตามีความเข้าใจวูบผ่าน ภาวะอันแท้จริงของข้านั้นคือพุทธ? อ่านพุทธคัมภีร์มากๆ จะเป็นภิกษุชั้นสูงหรือ? นี่คือความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ อ้าปากปิดปาก ก็อ้างอิงตำราเป็นหลัก ตามตำนานแล้วคนที่มีธรรมะไม่มีจบสิ้นต่างหากคือภิกษุชั้นสูง ทว่าตอนนี้สิ่งที่ฟางเจิ้งอยากพูดคือนั่นอาจเป็นภิกษุชั้นสูง แต่ไม่ใช่มาตรฐานของภิกษุชั้นสูงเพียงข้อเดียว! หัวใจใสดั่งกระจก ไร้สิ่งแปดเปื้อนปราศจากกิเลส จิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็เป็นหนึ่งในมาตรฐานของภิกษุชั้นสูงเหมือนกัน!
แต่ฟางเจิ้งเข้าใจ เขายังห่างไกลจากคำว่าหัวใจใสดั่งกระจก จิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ในใจเขายังมีความคิดซับซ้อนอื่นๆ มากเกินไป…
วินาทีที่ฟางเจิ้งกำลังใจลอยนั้น คนหัวทองคนหนึ่งพูดกับคนหัวทองตัวเตี้ยด้วยความสับสนเล็กน้อย “พี่หนิว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? พวกมันไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นพวกมันกลับมาเลย ทำไมถึงจู่ๆ ก็โผล่มาล่ะ คงไม่ใช่ผีหรอกใช่ไหม?”
คนหัวทองตัวเตี้ยได้ยินดังนั้นก็อ้าปากด่าทอ “ผีแม่แกสิ! เก็บเงินมาให้หมด ไม่เห็นพวกมันมาแล้วแกจะยังสนใจทำไม? ฉันไม่สนหรอกนะว่าเป็นคนหรือผี แต่กล้าทำร้ายพี่น้องเราเหรอ?! พวกเราจัดการมัน!” ในที่สุดคนหัวทองตัวเตี้ยก็ได้สติกลับมา ตะโกนไปด้วยความโกรธ และหยิบหินก้อนหนึ่งเขวี้ยงไปทางฟางเจิ้ง
………………