The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 17
เขม็ง! ทำเอากินไม่ลง พอก้มหน้ามองก็พบว่าเป็น หมาป่าเดียวดาย
ตอนที่ 17 ระบบเจ้าเล่ห์
ไม่รู้ว่าหมาป่าเดียวดายกลับมาเมื่อไร แต่ถึงอย่างไรตอนที่ฟางเจิ้งส่งพวกหวังโอ้วกุ้ยก็ไม่เห็นมันเข้ามา ตอนนี้เจ้านี่กลับมาอย่างกะทันหัน ทำเอาฟางเจิ้งตกใจ
“นี่นายทำอะไร?” ฟางเจิ้งกล่าว
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที
ฟางเจิ้งพูดด้วยความโกรธ “อย่าหวัง! นี่ข้าวเช้าของอาตมา! แค่คำเดียวยังจะแบ่ง อีกเหรอ? อยากให้อาตมาหิวตายรึไง?”
หมาป่าเดียวดายเห่าอีกสองทีอย่างคับอกคับใจ อ้อนวอนให้ฟางเจิ้งแบ่งมันสักคำ จมูกหมาป่าดีกว่าคนมาก อร่อยหรือไม่แค่ดมก็รู้ชัดยิ่งกว่า! ข้าวในชามฟางเจิ้งมีกลิ่นหอมที่สุดเท่าที่มันเคยได้กลิ่นมา อร่อยกว่าไก่อ้วนอีก!
ฟางเจิ้งเห็นท่าทีคับอกคับใจมัน จึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ตัดใจแบ่งมันไปคำนึง
หมาป่าเดียวดายกินข้าวบนพื้น จากนั้นมันก็ดูแปลกไป นอนบนพื้น แลบลิ้น เบิกตากลมโต สีหน้ามีความสุข เหมือนกินอิ่มเอิบจนกลายเป็นหมาติงต๊อง!
ฟางเจิ้งไม่สบายใจแล้ว แค่ข้าวชามเดียวไม่ใช่เหรอ? ทำไม่หมาป่าหิวโหยถึงได้กลายเป็นหมาติงต๊องอย่างพันธุ์ฮัสกี้? ในนี้คงไม่มีกาแฟอะไรอยู่หรอกมั้ง?
ขณะพึมพำฟางเจิ้งก็ลองข้าวในชามไปคำหนึ่ง ต่อมาเขาร้องไห้โฮ! กอดหมาป่าเดียวดายซ้ำยังเฆี่ยนตี “นายคายออกมาเดี๋ยวนี้ คายออกมา! คายออกมาเถอะ! นายจะสิ้นเปลืองอาหารเลิศรสของฉันแบบนี้ไม่ได้…”
ไม่ผิด รสชาติข้าวนี่มันอร่อยเกินไป! ไม่มีรสชาติส่วนเกินเลย เป็นรสชาติข้าวจริงๆ เมื่อเข้าปากแล้วกัดเบาๆ จะมีเนื้อสัมผัสเหมือนกับไขมัน ส่งกลิ่นหอมลึกซึ้ง ยิ่งเคี้ยว ยิ่งเสพติด!
ในที่สุดฟางเจิ้งก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหยางผิง หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วถึงติดคอแล้ว ไม่ยอมดื่มน้ำ! เพราะแค่ได้กินเล็กน้อย รสชาติก็วนเวียนอยู่ในปาก ใครจะยอมดื่มน้ำ ให้สลายรสชาติกัน! แต่ว่าสุดท้ายสามคนก็ยังน้ำลายไหล ส่งอาหารเลิศรสในลำคอลงไป มิน่าหยางผิงถึงออกไปเหมือนจะร้องไห้…
หมาป่าเดียวดายถูกฟางเจิ้งทุบตีอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่ยอมคายอะไรออกมา
ฟางเจิ้งมองชามที่สะอาดเกลี้ยงแล้วลูบท้องอีกครั้ง เขารู้ว่าหิวอีกแล้ว!
ช่วยไม่ได้ ฟางเจิ้งได้แต่ตักข้าวที่เหลืออยู่ออกมาให้หมด จากนั้นหุงใหม่อีกหม้อ เพียงแต่ว่าข้าวหม้อนี้ เมื่อตักข้าวใส่ปากแล้วยากจะกลืนลงไป! รสชาติตอนกินก่อนหน้ายังอยู่ ขืนกินเข้าไปอีกรสชาติจะทับกัน แต่ว่าเพื่อให้อิ่มท้อง จึงต้องหลับตากินคู่กับผักป่า
ในที่สุดก็อิ่มท้อง ฟางเจิ้งมองเงินห้าร้อยหยวนที่เหลืออยู่แล้วพูดขึ้น “ระบบ เก็บค่าบริการกับค่าส่งเร็วยังไงบ้าง?”
“จะกำหนดจากของที่ส่งว่ามีราคาเท่าไหร่ หากเป็นเมล็ดข้าวผลึก ไม่ว่าจะสั่งเท่าไหร่ ค่าบริการกับค่าส่งเร็วก็จะหนึ่งร้อยหยวน” ระบบตอบกลับ
ฟางเจิ้งพลันรู้สึกเสียใจภายหลัง หากรู้ว่าข้าวผลึกให้ผลผลิตสูงขนาดนี้แต่แรก แถมยังอร่อยขนาดนี้ เขาน่าจะซื้อมาทั้งหมดทีเดียว ครั้งนี้จ่ายไปสามร้อยหยวนซื้อมาเมล็ดเดียว ขาดทุนยับเลย!
แต่ว่าเรื่องนี้ก็ถือว่าผิดเป็นครู ทำได้เพียงทำใจยอมรับ
พอกินอิ่มแล้วฟางเจิ้งก็เริ่มเช็ดถูอุโบสถ เก็บกวาดลานวัด ทั้งยังรดน้ำต้นโพธิ์เล็กน้อย มันเติบโตเร็วมาก ไม่เจอวันเดียวไม่ใช่แค่แตกกิ่ง แต่ยังมีสีเขียวคลุมหนึ่งชั้น ดูดีขึ้นมาก
ในเวลาเดียวกันตรงตีนเขา
ถานจวี่กั๋ว หวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงสามคนลงเขามาแล้ว สามคนนี้นึกถึงรสชาติ ของข้าวผลึกตลอดทาง เดินจนมาถึงตีนเขาพลันนึกถึงเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องใดอื่น แต่เป็นการขยายวัดเพื่อข้าวคำนั้น! อย่างน้อยเป็นวัดขนาดกลางก็จะดูแลเรื่องอาหาร!
สามคนถูกรสชาติของข้าวผลึกซื้อไปแล้ว หลังเห็นพ้องต้องกันจึงแยกย้ายกันไป
ยามกลางวัน หยางผิงนั่งอยู่บนเตียงในบ้านตัวเอง หลังลิ้มลองข้าวผลึกมื้อนั้น เขาก็เกิดการเฝ้าใฝ่หาที่มากขึ้น วันนี้ใช้จ่ายเป็นพิเศษเพื่อซื้อข้าวดีๆ กลับมา หลิวเยี่ยภรรยาหยางผิงทำกับข้าวที่เขาชอบไว้อีกสองอย่าง ซ้ำยังรินสุราให้เขาอีกแก้ว
แต่หยางผิงมองไข่ผัดพริก ผัดไส้หมูกับข้าวในชามแล้ว ในความคิดกลับมีแต่รสชาติของข้าวผลึกบนภูเขา ผัดไส้หมูที่ชอบที่สุดในเวลาปกติกลับรู้สึกไร้รสชาติ ดื่มสุราไป สองแก้วก็รู้สึกไม่ถูกปาก กินข้าวไปหลายคำแล้วถอนหายใจยาว
“หยางผิงเป็นอะไร? ไม่สบายรึเปล่า?” หลิวเยี่ยไม่สบายใจ ทำไมหยางผิงที่ปกติ กินไม่เลือก วันนี้ถึงไม่กินอะไรล่ะ?
หยางผิงยิ้มเฝื่อน “เปล่าไม่สบาย แค่ว่า…เฮ้อ…ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเลย”
ตอนนี้เองมีคนเดินเข้ามาจากหน้าประตู คนนี้อายุมากกว่าหยางผิงเล็กน้อย อายุราวสามสิบย่างเข้าสี่สิบ พอเข้ามาแล้วก็มีสีหน้าขมขื่น ในมือยังถือผลตรวจมาปึกหนึ่ง…
“พี่ใหญ่กลับมาแล้วเหรอ? เป็นยังไงบ้าง? หมอว่าไง?” หยางผิงเห็นพี่ใหญ่หยางหวากลับมาแล้วจึงหยุดถอนหายใจ แล้วถามอย่างเป็นห่วง
หยางหวาถอนหายใจยาว “ไม่มีหวัง…หมอบอกว่าฉันกับพี่สะใภ้แกผิดปกติน่ะ พอมาอยู่ด้วยกันอย่าคิดจะมีลูกเลย เฮ้อ เสี่ยวผิง ไป ไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย จิตใจฉันไม่ไหวแล้ว เห็นบ้านอื่นเขากอดลูกกัน แม้แต่ไข่ฉันยังไม่มีเลยเฮ้อ…”
หยางผิงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บความตะกละในใจไว้ เทียบกับความน่าอดสูของ หยางหวาแล้ว เขาถือว่ายังดี เลยดึงหยางหวาเข้าไปในบ้าน “พี่ใหญ่มาพอดีเลย พวกเราเพิ่งจะกินข้าวกัน มากินด้วยกันสิ หลิวเยี่ย เธอไปจับไก่มาตุ๋นให้พี่ฉันที”
“ได้ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” หลิวเยี่ยเดินไปจับไก่ในลาน ตอนนี้ไก่พากันแตกตื่น
หยางผิงพาหยางหวาเข้าไปในบ้าน นั่งลงบนเตียง ดื่มสุรากัน กินผัดไส้หมู พลางคุยเรื่องแก้ปัญหา
ดื่มไปสามแก้ว หยางผิงรู้สึกมึนเล็กน้อย ปากจึงไม่มีหูรูด “พี่ใหญ่ จะบอกให้นะ เรื่องนี้พี่อย่ารีบร้อนนักเลย รีบไปก็ไม่มีประโยชน์ บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้หรอก วิทยาศาสตร์แก้ไม่ได้ พวกเรามาหายาพื้นเมืองกันเถอะ”
“ยาพื้นเมืองไหนก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สมุนไพรจากแปดหมู่บ้านในสิบลี้พวกเราก็กินมาไม่น้อยแล้วนะ นอกจากท้องเสียก็ไม่เห็นผลอะไรเลย” หยางหวาพูดบ่น
หยางผิงกล่าวต่อ “ถ้ายาพื้นเมืองไม่มีประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ไปขอเทพเอา! ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนไม่ใช่เหรอ? ไม่แน่นะ สวรรค์อาจให้ลูกกับพี่ก็ได้”
“ขอเทพเหรอ? วัดที่ใกล้ที่สุดก็ต้องนั่งรถหนึ่งวัน พี่สะใภ้แกร่างกายไม่แข็งแรง กลัวว่าจะไม่ไหวเอา” หยางหวาพูด
หยางผิงยิ้ม “ต้องไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ? บนเขาเอกดรรชนีของเราก็มี วัดเอกดรรชนีอยู่นี่?”
“วัดร้างนั่นเหรอ? มันพังแล้วนี่? หลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพไปแล้ว ยังจะปกป้อง พวกเราได้อีกหรือไง? ช่างเถอะ…เดี๋ยวจะหาเวลาไปวัดเมฆาขาวดู” หยางหวาค้าน
เป็นอย่างสำนวนที่ว่ากินใช้ของคนอื่นก็ต้องตอบแทน มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้หยางผิง ผู้ใหญ่บ้านแล้วก็เสมียนปรึกษากันแล้วว่าจะให้วัดเอกดรรชนีโด่งดังได้ยังไง ตอนนี้ หยางหวาจะไปขอไหว้เทพ เขาจึงต้องดึงจำนวนคนไว้ แบบนี้จะเท่ากับยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว ดังนั้นจึงตอบกลับไปทันทีว่า “พี่ใหญ่ พี่ไม่รู้เรอะ! ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้น่ะล้อเล่น พี่ก็เชื่ออีกนะ หมู่บ้านเราหาคนไปซ่อมวัดเอกดรรชนีใหม่แล้ว สวยเลยล่ะ! อีกอย่าง เจ้าฟางเจิ้งก็สืบทอดต่อจากหลวงจีนหนึ่งนิ้วแล้ว ดูแลวัดจนดีมากเลยล่ะ โดยเฉพาะข้าว…ไม่พูดถึงข้าวดีกว่า พูดมากไปก็กินข้าวไม่ลงอีก เฮ้อ…”