The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 176 เถ้าถ่าน
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 176 เถ้าถ่าน
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น การจะให้ฟางอวิ๋นจิ้งเดินออกมาจากเงามืดจิตใจอย่างแท้จริงนั้น แค่เท่านี้ยังไม่พอ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ฟางเจิ้งไม่ได้ก้าวก่ายโลกความฝันของฟางอวิ๋นจิ้งมากเกินไป ทุกอย่างที่นี่เกิดขึ้นในความเป็นจริง เป็นสิ่งที่เธอประสบ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเธอปิดกั้นตัวเอง แสร้งเมินเฉย ป้องกันทุกเรื่องราว
ตอนนี้ฟางเจิ้งเพียงแค่ขุดมันออกมาวางใหม่อีกครั้งก็เท่านั้น ทั้งยังเสริมสัมผัสให้ดีขึ้น…อย่างเช่นเสียงสนทนากันระหว่างตำรวจ
ตอนนี้ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก หมอฉุกเฉินเดินออกมา ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย เหงื่อไหลตรงหน้าผากมากผิดปกติ
อาจารย์ที่ปรึกษาตรงเข้าไปสอบถามสถานการณ์ทันที หมอถอนหายใจ ส่ายหน้า ความหมายชัดเจนมาก ฟางอวิ๋นจิ้งพลันเกิดความรู้สึกมืดสลัวจะหมดสติ
ฟางเจิ้งโบกมือ หมอพูดขึ้นว่า “ใครเป็นครอบครัวของผู้ป่วยครับ? เข้าไปดูหน่อยครับ”
ฟางอวิ๋นจิ้งวิ่งไปที่ห้องฉุกเฉิน…
“พ่อ แม่ น้อง…ฮือๆ…”
“เสี่ยวอวิ๋น…” เสียงฟางชิวดังขึ้นอีกครั้ง ฟางอวิ๋นจิ้งเงยหน้าขึ้นเห็นฟางชิวมองเธอ! และยังมีฟางชิงเหอกับฟางเสียงหลง
“พ่อ แม่ น้องหลง พวกคุณ?” ฟางอวิ๋นจิ้งมึนงง
“อมิตาพุทธ สีกา พวกเขาคือภาพสะท้อน” ฟางเจิ้งเดินออกมา
“ท่านคือ…ไต้ซือฟางเจิ้ง?” ฟางอวิ๋นจิ้งมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจระคนมึนงง เธอมีภาพจำต่อฟางเจิ้งลึกซึ้งมาก เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าฟางเจิ้งจะปรากฏตัวที่นี่ตอนนี้!
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “อาตมาเอง โยมมีเวลาอยู่ คุยกับพ่อแม่สักหน่อยเถอะ”
ฟางอวิ๋นจิ้งไม่มีเวลาสนใจฟางเจิ้งจริงๆ เธอมองบุพการีและน้องชายด้วยความเศร้า น้ำตาไหลเป็นทาง
“อวิ๋นจิ้งอย่าร้อง ไต้ซือปลุกพวกเราขึ้นมา ให้พวกเราคุยกับลูก อวิ๋นจิ้ง ถึงพวกเราจะไปแล้ว แต่ลูกยังอยู่! ลูกต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข แบบนี้พ่อกับแม่แล้วก็เสี่ยวหลงจะได้สบายใจข้างล่าง อย่าให้พวกเราไม่สบายใจข้างล่างได้ไหม?” ฟางชิวกล่าว
ฟางอวิ๋นจิ้งส่ายหน้ารัวๆ “แม่ หนูจะไปด้วย หนูจะไม่อยู่ที่นี่คนเดียว”
“เด็กโง่ พูดอะไรอย่างนั้น?! ถ้าลูกไปใครจะเผากระดาษให้พวกเรา? พวกเราช่วยคนยากไร้บนโลกมนุษย์ ไปถึงข้างล่างแล้ว ลูกจะไม่ให้พวกเราเสวยสุขเลยเหรอ?” ฟางชิงเหอว่ายิ้มๆ ส่วนเรื่องจน ความจริงบ้านพวกเขาไม่ได้จนจริงๆ
ฟางอวิ๋นจิ้งอึ้ง ใช่ ถ้าเธอไปแล้วใครจะเซ่นไหว้ ใครจะเผากระดาษ?
ฟางเสียงหลงเอ่ย “พี่ อย่าตามพวกเราลงไปเลย ผมยังอยากเห็นสาวอ้วนจะได้แต่งงานยังไงอยู่นะ ไม่รู้จริงๆ ว่าใครจะดวงซวยได้นางฟ้าอ้วนไป”
ฟางอวิ๋นจิ้งหัวเราะ “สบายใจได้ พี่จะหาพี่เขยดีๆ ให้แกเอง ถึงตอนนั้นแกจะกล้าหัวเราะเยาะว่าพี่ขายไม่ออกอีกไหม! หึ!”
ฟางเสียงหลงหัวเราะ “ก็ดี คำไหนคำนั้นนะห้ามคืนคำ! พวกเราจะมีความสุขกันข้างล่าง พี่ก็ต้องมีความสุขข้างบนนะ! ครอบครัวพวกเราต้องมีความสุข!”
ฟางชิงเหอเอ่ยเช่นกัน “ไปถึงข้างล่าง พ่อไม่อยากทำงานแล้ว เซียงอวิ๋น เผาเงินมาให้เยอะๆ หน่อยนะ”
“เห็นแก่เงิน จะเอาเงินขนาดนั้นไปทำไม? อยากกินเหล้าอีกแล้วใช่ไหม?!” ฟางชิวต่อว่า
ฟางชิงเหอยิ้มแหยๆ ฟางอวิ๋นจิ้งหัวเราะเช่นกัน
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็รู้ว่าจะพูดอะไรไม่ได้มากอีก เขาเป็นคนแต่งคำพูดเหล่านี้มาเอง ไม่มีในความเป็นจริง ถ้าแต่งต่อไปอีก พูดมากจะเสียเรื่องเอาได้เลยจะรีบตัดจบ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้ามา “อมิตาพุทธ พวกโยม ถึงเวลาแล้ว ลงไปเถอะ”
“ขอบคุณมากไต้ซือ” ฟางชิงเหอ ฟางเสียงหลง ฟางชิวกล่าว
แต่ฟางอวิ๋นจิ้งกลับอาลัยอาวรณ์ “ไต้ซือ…เอ่อ ได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย “สีกา ชีวิตคนเราไม่ถึงร้อยปี ในยมโลกหนึ่งวันโลกมนุษย์หนึ่งปี สำหรับโยมแล้วไม่ได้เจอพวกเขาร้อยปี แต่สำหรับพวกเขาแค่สามเดือนกว่าๆ เท่านั้น แค่เวลาภาคการศึกษาเดียวก็สิ้นสุดแล้ว โยมเรียนหนังสือบนโลกเถอะ ปิดเทอมแล้วค่อยกลับไปเยี่ยมพวกเขา ไฉนต้องทำแบบนี้?”
“แต่ว่าฉันจะผ่านไปร้อยปีจริงๆ เหรอคะ?” ฟางอวิ๋นจิ้งอ้อนวอน
ฟางเจิ้งเคาะหัวฟางอวิ๋นจิ้ง “เด็กทึ่ม ไม่ได้ให้โยมทรมานร้อยปี โยมมีเรื่องต้องทำมากมาย ลืมความหวังของพ่อแม่ของน้องชายไปแล้วเรอะ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งพลันรู้สำนึก “รู้แล้วค่ะ ฉันจะต้องมีความสุขยิ่งกว่าเดิม ตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะต้องภูมิใจในตัวฉัน!”
ฟางเจิ้งยิ้ม “อมิตาพุทธ เป็นอย่างนั้นแน่นอน! โยม ชีวิตคนเราดั่งความฝัน ความฝันดั่งชีวิตคนเรา จำคำในวันนี้ไว้”
โครม! ภาพตรงหน้าหายไป…
ฟางอวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าเหยียบอากาศผลุบตกลงไป!
“กรี๊ด!” ฟางอวิ๋นจิ้งกรี๊ดเสียงแหลม พยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ถูกมัดไว้กับเตียงขยับไม่ได้
“เร็วๆๆ คลั่งอีกแล้ว กดเอาไว้!” หลิวอวิ๋นซูร้องเรียก
ทุกคนพากันลงมือ ทว่ากลับพบว่าฟางอวิ๋นจิ้งไม่ดิ้นเลย แต่มองทุกอย่างตรงหน้าราวกับตื่นจากความฝัน ทุกคนอึ้ง มึนงงเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้น?
“อวิ๋นจิ้ง? เธอไม่เป็นไรนะ?” หม่าเจวียนถามอย่างระมัดระวัง
ฟางอวิ๋นจิ้งมองใบหน้าเป็นห่วงรอบกาย พลันยิ้ม “ขอบคุณทุกคนนะ”
พอเห็นรอยยิ้มฟางอวิ๋นจิ้ง ได้ยินเธอพูด ทุกคนมองหน้ากัน จ้าวต้าถงยิ้มออก “อวิ๋นจิ้งเหมือนจะไม่เป็นไรนะ…”
“รบกวนทุกคนออกไปก่อน ฉันขอคุยกับเธอเดี๋ยว” แม้ต่งเยวี่ยหรูพยายามจะรักษาความสงบนิ่ง แต่ในใจตกตะลึงอย่างยิ่ง! ขณะเดียวกันยังเต็มไปด้วยความฉงน เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ คนป่วยคนหนึ่งกลับหายดีแบบนี้ได้! ในมุมมองเธอ โรคระดับลึกชนิดนี้ต้องใช้เวลาและจิตใจมาก…ทุกอย่างตอนนี้มันน่าเหลือเชื่อ
หลิวอวิ๋นซูมีสีหน้าราวกับเห็นผี ถึงจะพยายามรักษาความเรียบนิ่ง แต่ความตื่นตกใจทางสีหน้ากลับปกปิดไม่มิด! ต่งเยวี่ยหรูเป็นใคร? เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงในเซิ่งจิง เป็นจิตแพทย์ส่วนตัวของบิดาเขา! ไม่ขอบอกว่าเป็นอันดับหนี่งของประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปเทียบไม่ติด!
ต่งเยวี่ยหรูบอกว่าต้องใช้เวลานาน ทว่าฟางอวิ๋นจิ้งกลับหายอย่างกะทันหัน ใครจะให้คำอธิบายที่สมเหตุผลกับเขาได้บ้าง?
ทุกคนออกจากห้องไป ยืนอยู่ในระเบียงทางเดิน จ้าวต้าถงมองหลิวอวิ๋นซูที่หน้ามึนงงพลางหัวเราะเหอะๆ “สมองเป็นของดีนะ น่าเสียดายบางคนคิดว่ามี แต่ความจริงไม่มี”
เป็นครั้งแรกที่หลิวอวิ๋นซูไม่ต่อปากต่อคำกับจ้าวต้าถง พอได้ยินจ้าวต้าถงว่าเขาพลันนึกถึงยันต์วิญญาณแผ่นนั้น! หรือว่าจะเป็นผลของยันต์นั่นจริงๆ? แต่ว่า…เป็นไปได้?
คนจีนแม้จะปากจะบอกแบบนั้น บอกว่าวิทยาศาสตร์คือที่สุด แต่ลึกๆ ก็ยังยำเกรงของดั้งเดิมพวกนี้! หลิวอวิ๋นซูก็ไม่ยกเว้น มองจ้าวต้าถงด้วยความสงสัย
จ้าวต้าถงรู้สึกรูทวารเกร็งแน่น พูดไปว่า “หลิวอวิ๋นซู แกจะทำอะไร? จะบอกให้นะ อย่าใช้สายตาแบบนั้นมองฉัน…ฉะ…ฉันชอบผู้หญิง!”
“ไอ้บ้า!” หลิวอวิ๋นซูด่าไปทีหนึ่งแล้วจ้องจ้าวต้าถง “จ้าวต้าถง นายรู้ไหมว่าทำไมฟางอวิ๋นจิ้งถึงดีขึ้น”
จ้าวต้าถงจะตอบ แต่หม่าเจวียนแทรกก่อน “น่าจะเป็นผลจากการรักษาจิตใจก่อนหน้าน่ะ ถึงยังไงโรคทางจิตวิทยาก็อาจจะเกิดผลอย่างกะทันหันก็ได้”
จ้าวต้าถงไม่พอใจ ในมุมมองเขานี่คือฝีมือของไต้ซือ ทำไมถึงโยนไปให้ผู้เชี่ยวชาญ? ขณะจะโต้แย้งนั้น หม่าเจวียนหยิกเขาทีหนึ่ง
จ้าวต้าถงเองก็ไม่ใช่คนเขลา จึงเข้าใจโดยพลัน ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลิวอวิ๋นซูมองพวกเขาด้วยความสงสัย รู้สึกว่ามันไม่น่าใช่แบบนั้น แต่หม่าเจวียนก็พูดถูก บางที…อาจเพิ่งเกิดผลจากฝีมือต่งเยวี่ยหรูจริงๆ เพียงแต่ว่าส่วนลึกในใจไม่เชื่อแบบนั้น
ตอนนี้เองประตูห้องเปิดออก ต่งเยวี่ยหรูกับฟางอวิ๋นจิ้งเดินออกมา ฟางอวิ๋นจิ้งมีสีหน้าไม่ดีเล็กน้อย ทว่านัยน์ตากลับไม่มีประกายสีเทาแห่งความตายในอดีต กลับมาสดใสดังเดิม
หูหานถามด้วยความเป็นห่วง “อวิ๋นจิ้ง เอ่อ…เธอไม่สบายตรงไหนบอกพวกเราได้นะ”
ฟางอวิ๋นจิ้งยิ้ม “ขอบคุณทุกคนนะ ขอบคุณอาจารย์ด้วยค่ะ เอ่อ…ฉะ…ฉันหิวอ่ะ”
ทุกคนได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะ จ้าวต้าถงลากหลิวอวิ๋นซูเข้ามา หัวเราะเหอะๆ “อวิ๋นจิ้ง เธออยากกินอะไรบอกมาเลย หลิวอวิ๋นซูเลี้ยง!”
“ไปไกลๆ เลย ฉันเลี้ยงก็เพราะฉันอยากเลี้ยง ทำไมนายพูดเหมือนเป็นคนเลี้ยงเองเลยล่ะ?” หลิวอวิ๋นซูด่ายิ้มๆ จัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วถึงพูด “อวิ๋นจิ้ง บอกมาเลยอยากกินอะไร? สั่งเต็มที่! อาหารทะเลสดๆ สัตว์ปีก บนดินหรือในน้ำได้ทั้งนั้น ฉันเลี้ยงเต็มที่”
ซุนหรั่นมองค้อนพวกเขาทีหนึ่ง “เอาล่ะ พวกเธอแยกกันไปได้แล้ว อาการป่วยของเซียงอวิ๋นเพิ่งรักษาเริ่มต้น ไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ไม่ควรกินของมันมากเกินไป เธอกลับบ้านกับครู เดี๋ยวจะต้มโจ๊กให้กิน”
ฟางอวิ๋นจิ้งขอบคุณไม่หยุด ซุนหรั่นกอดบ่าเธอไว้ ยิ้มพูดบางอย่าง จากนั้นพาฟางอวิ๋นจิ้งไป
ฟางอวิ๋นจิ้งหายไปดี ทุกคนดีใจมาก จ้าวต้าถงพุ่งเข้าไปในห้องพักฟางอวิ๋นจิ้ง พลิกหมอนดูเห็นข้างล่างเป็นสีดำทมิฬ และยังมีกากดำๆ เล็กน้อย จ้าวต้าถงกังวลแล้ว “แปลก ยันต์วิญญาณล่ะ? หรือว่าไหม้? ไม่มีใครจุดไฟนี่…”
พวกหม่าเจวียนวิ่งเข้ามาดู หม่าเจวียนทอดถอนใจ “ไต้ซือเป็นผู้วิเศษจริงๆ…”
“หม่าเจวียน ทำไมเมื่อกี้ไม่ให้ฉันพูดล่ะ? เห็นๆ อยู่ว่าเป็นฝีมือของไต้ซือ” จ้าวต้าถงถาม
“ต้าถง เรื่องนี้น่ะ นอกจากจะมีหลักฐานมายืนยันจริงๆ จะพูดมั่วซั่วไม่ได้ เดี๋ยวจะสร้างปัญหาให้ไต้ซือ” หูหานว่า
หม่าเจวียนเสริม “ใช่ นายบอกว่าเป็นฝีมือไต้ซือ ถ้าอย่างนั้นฉันถามนาย ไต้ซือรักษาอวิ๋นจิ้งระยะเป็นพันลี้ได้ยังไง? หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่ะ? พูดมาสิ? ทำไมพูดไม่ออกรึไง? หึๆ…ขืนเรื่องรั่วไหลออกไปจริงๆ พูดอะไรก็ไม่ได้ คงจะถูกทุกคนมองว่าเป็นเรื่องตลก ที่สำคัญคือจะสร้างปัญหาให้ไต้ซือรู้ไหม?”
จ้าวต้าถงพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าเข้าใจ แต่ก็ยังร้องขอความเป็นธรรมให้ฟางเจิ้ง “ทำความดีแต่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่นอย่างนั้นเหรอ? มีสิทธิ์อะไร?”
ขณะเดียวกันใต้ตึก หลิวอวิ๋นซูถามต่งเยวี่ยหรู “ป้าต่ง เอ่อ ป้ารักษาฟางอวิ๋นจิ้งจริงๆ เหรอครับ?”
ต่งเยวี่ยหรูได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะแห้งๆ ตบบ่าหลิวอวิ๋นซู “อวิ๋นซู โลกนี้ใหญ่มาก จะต้องเรียนรู้การมองโลกกว้างไกล อย่าให้ตัวเองคร่ำครึอยู่ในกรอบ ก่อนหน้านี้ป้าเป็นกบในกะลา คิดว่าวิทยาศาสตร์เป็นตัวแทนโลก แต่ความจริงเป็นเพียงฟ้าใหญ่เท่าฝ่ามือเท่านั้น โลกนี้มีคนที่มีฝีมือนับไม่ถ้วน วันหลังอย่าสงสัยคนอื่นมั่วซั่ว แน่นอนว่าวิทยาศาสตร์ก็ยังเป็นรากฐาน ตั้งใจเรียนล่ะ…”
พูดจบต่งเยวี่ยหรูก็จากไป
เหลือเพียงหลิวอวิ๋นซูที่ทำหน้าประหลาดใจ
ต่งเยวี่ยหรูขึ้นรถ ควักเถ้าถ่านในกระเป๋าออกมากำหนึ่ง นัยน์ตาวูบไหวไม่แน่นอน ผ่านไปพักใหญ่ถึงเปิดกระจกโปรยออกไป คิดในใจ ‘บางที น่าจะแนะนำให้ท่านนั้น…’
…………………………