The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 182 ยึดมั่น
“ความรู้สึกนั้นทำให้ฉันนอนหลับยากทุกคืน ฉันอยากรู้ว่าฉันจะเข้าใจอะไรกันแน่ นายพูดไอ้นั่นให้ฟังอีกทีได้ไหม?”
ฟางเจิ้งงุนงง ไม่นึกเลยว่าลิงที่ฟังธรรมแล้วตระหนักเลยตามมา คาดไม่ถึงเลยว่าการเทศน์จะเผยแพร่ข้ามเผ่าพันธุ์แบบนี้ได้จริงๆ นะ…นี่มันมหัศจรรย์ไปรึเปล่า? ตอนแรกที่เขาใช้ลิ้นบัวเบ่งบานก็รู้แล้วว่าพระธรรมแท้จริงไม่ใช่คำพูด แต่เป็นการสื่อสารผ่านจิตวิญญาณ เสียงที่เปล่งออกไปไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูดเสมอไป มันเป็นเพียงวิธีการแสดงออกก็เท่านั้น
เร็วๆ นี้ฟางเจิ้งอ่านคัมภีร์เพิ่มเติมจึงเข้าใจอะไรมากมาย
ตอนนั้นพระโพธิธรรมาจากตะวันตก แต่สื่อสารไม่ได้เลยเทศน์ไม่ได้ ทว่าตอนนั้นพระธรรมนิกายหินยานของจีนแพร่หลาย ซึ่งนิกายหินยานก็เป็นภาษาสันสกฤตเหมือนกัน ดังนั้นการจะฝึกธรรมะเลยต้องเข้าใจภาษาสันสกฤตก่อน อีกทั้งยุคสมัยนั้น หลักสูตรวัฒนธรรมยังไม่เป็นที่นิยม คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักอักษรของประเทศตัวเองเท่าไร จึงอย่าได้เอ่ยถึงภาษาสันสกฤต ดังนั้นคนที่ฝึกพระธรรมในจีนสมัยนั้นล้วนไม่ใช่คนร่ำรวยแต่สูงศักดิ์ คนธรรมดาฝึกไม่ได้เลย นี่ก็เป็นวิธีที่พวกขุนนางใช้แสดงความสูงศักดิ์ พระธรรมนิกายหินยานพูดถึงตนสำเร็จเต๋าและอรหันต์ ไม่ว่าคนอื่นจะเป็นหรือตาย แค่ให้ตัวเองหลุดพ้น ไม่สนคนอื่น
ดังนั้นจึงไม่มีใครสอนภาษาสันสกฤตคนอื่น
เมื่อพระโพธิธรรมมาถึงก็พบว่าเรื่องราวเป็นแบบนี้ ประกอบกับตนมีปัญหาเรื่องภาษาเลยนั่งบนภูเขา บำเพ็ญเพียรอยู่หลายวัน ริเริ่มการฝึกฌาน การฝึกฌานไม่ต้องใช้ภาษา แค่นั่งอยู่ตรงนั้นตระหนักฟ้าดิน มองภูเขาเป็นภูเขา มองน้ำเป็นน้ำ การขยับ กินข้าว ทำนาล้วนเป็นการฝึกฝน นับจากนั้นมาก็กลายเป็นยุคที่ทุกคนฝึกธรรมะจนบรรลุพระธรรมชั้นสูงได้
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าพระธรรมแท้จริงไม่ควรจำกัดอยู่ที่ภาษาจริงๆ ในด้านทฤษฎี ไม่ใช่เพียงคน ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเข้าใจได้ก็พอ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหลวงจีนที่ไหนเทศน์ให้สัตว์รู้แจ้งได้
ทว่าพอใคร่ครวญ เดิมทีเขามีภาษาสัตว์อยู่แล้วนี่ ถ้าสัตว์ฟังเขาเข้าใจก็ต้องฟังเทศน์เข้าใจ เลยไม่แปลกอะไร ประกอบกับการเสริมพลังของลิ้นบัวเบ่งบาน ลิงนี่ฟังจนเคลิ้มก็ถือว่าปกติ
คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งตบหัวลิง “ฟ้าสางแล้ว อย่าฝันเลย รีบกลับภูเขาเมฆาขาวไปซะ”
น่าตลก ถึงฟางเจิ้งจะสงบจิตใจเริ่มฝึกพระธรรมแล้ว แต่การจะใช้ลิ้นบัวเบ่งบานในระดับพระโพธิธรรมนั้น อย่างน้อยก็ต้องระดับพระโพธิสัตว์? เทศน์หนึ่งครั้งขึ้นสวรรค์ไปแล้ว จะให้เทศน์อีก? ความลับก็แตกน่ะสิ ฉะนั้นตีให้ตายยังไงฟางเจิ้งก็ไม่เทศน์อีก
“อย่า ไต้ซือ ฉันมาไกลนะ ไล่ตามมาตลอดทางเนี่ยก็เพื่อฟังธรรม นายอย่าทำแบบนี้สิ” ลิงร้อนใจแล้ว
ฟางเจิ้งกำลังจะไป แต่พอได้ยินคำพูดนี้พลันนึกอะไรออก จึงมองลิงที่มีสีหน้าจริงใจ เขาเห็นว่าลิงนี่เปลี่ยนไปมาก ขนไม่ได้สง่างามเหมือนตอนอยู่ที่วัด ดูมอมแมมมาก ทั้งยังดูร่าเริงน้อยลงหลายส่วน ทว่านัยน์ตากลับมีความแน่วแน่บางอย่าง
ฟางเจิ้งถามโดยจิตใต้สำนึก “นาย…หาที่นี่เจอได้ยังไง?”
ลิงเกาก้น “นายลงเขามา ฉันก็ตามมา พอนายข้ามแม่น้ำแล้ว ฉันว่ายน้ำตามมา ต่อมามึนหัวจะอ้วกเลยหลงกับนาย ฉันไปตามทางที่นายไป วิ่งมั่วๆ จนเจอนายที่หมู่บ้านหนึ่ง แต่นายนั่งกล่องเหล็กใหญ่ไป ฉันตามไม่ทัน ต่อมาก็วิ่งหาไปทั่ว ไปๆ มาๆ ก็ถึงที่นี่ ไม่นึกเลยว่า…”
ฟางเจิ้งถาม “นายมาถึงที่นี่?”
“ใช่ ฉันไปมาหลายที่มาก แต่ไม่เจอคนหัวโล้น ฉันเลยเปลี่ยนที่ไป” ลิงตอบอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งมองลิง พลันเกิดความเคารพขึ้นมา! สัตว์ป่าตัวหนึ่งข้ามภูเขาใหญ่สองลูกมาไม่ได้ง่ายอย่างที่มันบอกแน่ มิหนำซ้ำยังเดินทางมาครึ่งฤดูหนาว สายลมหนาวเหน็บ ความยากลำบากในนั้น ต่อให้เป็นคนคาดว่าคงต้องถอย แต่ลิงนี่กลับยืนหยัดมา คาดไม่ถึงเลยว่าจะหาเขาเจอจริงๆ!
นี่…อาจจะเป็นวาสนาให้มาเจอกันรึเปล่า
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ โยม การเทศน์ก่อนหน้านี้จะพบเจอได้โดยบังเอิญแต่จะร้องขอไม่ได้ ถ้านายจะไหว้พระอย่างจริงใจก็ตามอาตมามา ตอนที่อาตมาสวดมนต์ นายจะได้ฟังอยู่ข้างๆ”
ลิงได้ยินดังนั้นพลันคึกคัก หัวเราะเสียงดังลั่น “แบบนี้ดีๆ! ฉันชอบแบบนี้! อะไรนั่นนะ ขอบคุณมาก! หมาบ้า มองข้างหลังแกสิ!”
หมาป่าเดียวดายไม่เข้าใจว่าลิงพูดอะไร แต่เห็นท่ามือก็น่าจะสื่อว่าให้มองข้างหลัง หมาป่าเลยหันไปมองอย่างใสซื่อ ลิงจึงดึงหางมันอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นหัวเราะเสียงดังแล้ววิ่งขึ้นต้นไม้ไป ทำเอาหมาป่าเดียวดายโกรธจนเห่าไม่หยุด แต่ก็จนปัญญา…จึงมองฟางเจิ้งด้วยความคับแค้นใจ
ฟางเจิ้งหัวเราะ ไม่ได้สนใจพวกมัน แต่ขุดผักป่าต่อ
เห็นฟางเจิ้งเริ่มขุดผักป่า กระรอกก็เข้ามาร่วมด้วยอย่างว่าง่ายเพื่อมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น เมื่อชำนาญมากขึ้น มันทำงานช้ากว่าฟางเจิ้งเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนหมาป่าเดียวดาย มีลิงขโมยตะกร้าเป็นอุทาหรณ์เมื่อครู่มันเลยไม่กล้าไปวิ่งเล่นอีก เอาแต่คาบตะกร้าตามหลังด้วยความยินยอม
เจ้าลิงนั่งยองอยู่บนต้นไม้ครู่หนึ่งก็กระโดดลงมาเรียนรู้วิธีการขุด ลิงก็คือลิง มันเรียนรู้เร็วมาก หนึ่งคนกับสัตว์สามตัวร่วมมือกันแปบเดียวก็ขุดหน่อหลิวเฮามาเต็มตะกร้า ฟางเจิ้งเลยเตรียมจะกลับวัดด้วยความพอใจ
ตอนนี้เองฟางเจิ้งมองกิ่งไม้นั้นที่เจ้าลิงตีหมาป่าเดียวดายพลางหัวเราะหึๆ “หมาป่าเดียวดาย มา พวกเรามาเล่นเกมกัน ฉันจะโยนออกไป นายไปเก็บกลับมา ถ้าทำดีจะเพิ่มข้าวเย็นให้!”
พอได้ยินคำพูดช่วงแรก หมาป่าเดียวดายทำหน้าเบื่อหน่าย ชัดเจนว่าไม่สนใจเกมปัญญาอ่อนนี่เลย แต่พอได้ยินรางวัลช่วงท้ายพลันสนใจขึ้นมา เห่าเสียงดังว่า “ไม่มีปัญหา!”
“เพิ่มข้าว? เพิ่มข้าวอะไร? หมาป่าไม่กินเนื้อเหรอ?” ลิงถามด้วยความไม่สบายใจ
ฟางเจิ้งยิ้ม “ก็ข้าวปั้นที่นายขโมยไปครั้งก่อนไง”
ลิงได้ยินแบบนั้นดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “ฉันจะเล่นด้วย! ฉันจะเล่นด้วย! ถ้าชนะต้องเพิ่มข้าวให้ฉัน!”
หมาป่าเดียวดายไม่เข้าใจว่าลิงกำลังพูดอะไร แต่มองจากท่าทางกระตือรือร้นอยากลองแล้ว มันไม่เหมือนลิงปกติที่ดีๆ
ฟางเจิ้งยิ้มชั่วร้ายในใจ ไม่กลัวว่าจะแข่งขันกันหรอก แข่งขันกันสิถึงจะสนุก เลยพูดไปว่า “พวกนายสองคนจะเล่นกันก็ได้ แต่จำไว้นะ อาตมาโยนไม้นี่ ใครเอากลับมาถึงมืออาตมาก่อนถือว่าชนะ! แล้วจะเพิ่มข้าวเย็นให้!”
หมาป่าเดียวดายได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าไอ้ลิงบ้านี่จะแย่งงานมันจริงๆ! จึงใช้สายตาที่ว่าถ้าไม่ใช่ว่าฉันกินเจ จะต้องกินแกแน่มองลิง
เจ้าลิงส่งก้นแดงๆ ให้มันทีหนึ่ง ขี้คร้านจะมองมัน เลยหันหลังห้อยหางไปทางหมาป่าเดียวดาย ทำท่าทางยั่วยุ
ฟางเจิ้งเห็นเจ้าสองตัวนี้จะอารมณ์ร้อนกันจริงๆ เลยรีบปราม “เอาล่ะ การแข่งขันเป็นรอง มิตรภาพคือที่หนึ่ง ห้ามทะเลาะกัน ไม่อย่างนั้นจะยกเลิกสิทธิ์ ตอนนี้…อืม กระรอก นายจะเอาด้วยไหม?”
กระรอกกอดอกมองค้อนฟางเจิ้ง ขี้เกียจจะสนใจไอ้หลวงจีนบ้านี่! ไม้นั่นใหญ่กว่าตัวมันสามเท่า จะให้ไปเก็บขนรึไง? ให้ถูกเก็บยังพอว่า
………………………