The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 19
ตอนที่ 19 หากจริงใจจะศักดิ์สิทธิ์
ตู้เหมยรู้สึกงงกับคำพูดฟางเจิ้งเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงโบกมือตอบกลับ “ไม่เข้าใจเลย ช่างเถอะไม่พูดแล้ว ไปไหว้พระ ไหว้เสร็จต้องกลับไปดำนาอีก”
หยางหวาเห็นตู้เหมยกลับมาหัวข้อหลักแล้วก็โล่งอก ทักทายฟางเจิ้งแล้วเข้าไปในอุโบสถ
เพียงแต่ว่าตอนที่เข้าไปในอุโบสถก็เห็นป้ายอันใหม่ตรงปากประตูจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เบิกตากว้าง สองคนตกใจสะดุ้ง
ตู้เหมยกล่าวขึ้น “ฟางเจิ้ง ธูปชั้นดีนี่สองร้อยเลยเหรอ? ไม่ดีไปมั้ง? ฉันบอกแกแล้วไง ต้องเป็นคนใจกว้าง จะใจแคบแบบนี้ไม่ได้ เปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย!”
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง “น้า ผมไม่ได้เป็นคนตั้งราคานี้นะ อาจารย์ผมตั้งต่างหาก เขาไปแล้ว ผมเป็นศิษย์ก็จะเปลี่ยนราคาตามใจชอบไม่ได้ ใช่ไหม?” ฟางเจิ้งรู้ว่าใช้หลักการกับ ตู้เหมยไม่มีประโยชน์ และเขาก็บอกเรื่องระบบมือมืดผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ ไม่ได้ จึงได้แต่ใช้หลวงจีนหนึ่งนิ้วมาอ้าง
จริงๆ แล้วถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้วจะยากจน แต่ก็ยังพอมีบารมีใต้ภูเขา พอได้ยินว่าเป็นปณิธานก่อนมรณภาพของหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ตู้เหมยจึงไม่พูดอะไร
หยางหวาก็พูดเสริมเช่นกัน “ใช่ คนอื่นเขาจะคิดเงินยังไงคุณต้องสนใจด้วยรึไง? ไม่มีเงินก็อย่าจุดธูปชั้นดี ธูปธรรมดาใช้ไม่เป็นเรอะ? นั่นฟรีนะ”
“คุณนี่น่าเอือมระอาจริงๆ ไปโรงพยาบาลจ่ายไปหลายพันหยวนจ่ายได้ ซื้อสมุนไพรหลายร้อยหยวนยังจ่ายได้ แต่มาขอพระโพธิสัตว์ยังคิดงกเงินอีกเหรอ? ไม่ได้ยินฟางเจิ้งบอกหรือไง? ความจริงใจคือจิตวิญญาณ นี่จะต้องเป็นเพราะจิตใจคุณไม่จริงใจแน่ๆ!” ตู้เหมยตอกกลับ
หยางหวามีสีหน้าย่ำแย่ ฟางเจิ้งแอบหัวเราะ น้าเขาร้ายกาจขนาดนี้เชียว!
สุดท้ายหยางหวาก็ควักเงินสี่ร้อยหยวนออกมาวางบนพื้น จากนั้นหยิบธูปไปสองดอก เดิมทีสองคนจะมาขอเรื่องเดียว จุดธูปดอกเดียวก็พอแล้ว แต่ตู้เหมยอยากจุดเอง หนึ่งดอก หยางหวาจึงได้แต่กลั้นความปวดหัวใจนองเลือดยอมจ่ายไป
สองคนหยิบธูปมายืนไหว้ ก่อนคุกเข่าไหว้ ขอพรอะไรอยู่เงียบๆ ผ่านไปนานสองคนยืนขึ้น ปักธูปลงกลางกระถางธูปแล้วถอยออกมา
ฟางเจิ้งยืนรออยู่หน้าประตูตลอด
พอสองคนออกมา ตู้เหมยถามหยางหวา “คุณขออะไร?”
หยางหวา “อย่าพูดถึงเลย ตอนแรกผมจะขอลูกชาย ต่อมาก็คิด ขอหนึ่งข้อเป็นการขอ ขอสองข้อก็ขอเหมือนกัน จ่ายเงินไปแล้วก็ขอลูกสาวอีกคน เป็นลูกแฝด! คุณล่ะ?”
“คุณนี่ไม่ได้เรื่องเลย ขอลูกแฝดเหรอ…” ตู้เหมยตอบด้วยความอายเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยต่อ “ฉันก็เหมือนกัน”
สองคนพลันหัวเราะ
ฟางเจิ้งก็หัวเราะไปด้วย สรุปสองคนมองค้อนเขา “ถ้าไม่เห็นผลต้องคืนเงินมา!”
ฟางเจิ้ง “@¥@#…”
หลังส่งหยางหวากับตู้เหมยแล้ว บนเขาก็เงียบสงบอีกครั้ง
จนกระทั่งช่วงบ่าย ต่งชิงซานกับลูกน้องอีกสองคนขึ้นเขามา ไม่ได้มาไหว้พระ แต่ถานจวี่กั๋วให้พวกเขามาส่งข้าวสองถุงให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งฝากต่งชิงซานไปขอบคุณถานจวี่กั๋วแล้วส่งสามคนลงเขาไป
เขามองข้าวสองถุงในลานพลางถอนหายใจ “ปู่นี่จริงๆ เลยนะ ตอนแรกฉันแค่พูดเล่นๆ ว่าไม่มีข้าวกินพรุ่งนี้ แต่ดันส่งข้าวมาให้สองถุงจริงๆ”
ฟางเจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็เปิดถุงข้าวแล้วมองไปข้างใน นั่นเป็นข้าวใหม่ทั้งหมด! เห็นได้ว่าเป็นข้าวที่เพิ่งออกวันนี้…
เขาเคยอยู่ในหมู่บ้านมาก่อน ปกติข้าวในหมู่บ้านจะขายไม่หมด ส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ในบ้านตัวเอง ส่วนหนึ่งจะแบ่งมากิน แต่ทุกคนมักจะกินกันไม่หมดจนค้างถึงปีที่สอง พอข้าวใหม่ปีที่สองออก ทุกคนก็จะทำใจกินไม่ได้อีก ไปกินข้าวเก่า เป็นแบบนี้ไป ข้าวใหม่มาเปลี่ยนข้าวเก่า จึงกินข้าวเก่ากันทุกวัน
แต่ว่าฟางเจิ้งได้ข้าวใหม่ เขาย่อมรู้ถึงน้ำใจคนว่าเป็นอย่างไร
เขาคุกเข่าอยู่หน้าพระพุทธเงียบๆ สวดมนต์ให้พวกถานจวี่กั๋วกับตู้เหมย อวยพรให้พวกเขาร่างกายแข็งแรงอายุยืน ก่อนออกจากอุโบสถ เตรียมกินข้าวกลางวัน
ได้เงินมาอีกสี่ร้อยหยวน รวมกับห้าร้อยหยวนที่เหลือ ตอนนี้ฟางเจิ้งมีเงินเก้าร้อยหยวน ครั้งนี้เขากัดฟันซื้อเมล็ดข้าวผลึกมาเจ็ดเมล็ด จากนั้นปลูกลงกระถางดอกไม้ วันที่สอง ก็ได้ข้าวผลึกมาเจ็ดจิน
ฟางเจิ้งใส่ข้าวผลึกลงไปโอ่งปิดฝาอย่างดี ตอนทำอาหารก็ใช้ข้าวธรรมดาหนึ่งชาม ข้าวผลึกครึ่งชาม กินผสมกันไป แบบนี้ถึงรสชาติจะไม่ดีเท่าข้าวผลึกเพียวๆ แต่ก็อร่อยกว่าข้าวปกติมาก กินคู่กับผักดอง ผักดองเค็มอะไรพวกนี้ เขารู้สึกเหมือนกำลัง ฉลองปีใหม่! ความคิดถึงต่ออาหารเลิศรสชั้นดีทั้งหลายเลือนรางไป…
ช่วงเวลาบนเขาง่ายมาก ฟางเจิ้งกินข้าวทุกวัน ทำความสะอาดวัด ทำความสะอาดอุโบสถ จุดธูปสวดมนต์ วันเวลาผ่านไปเร็วมาก
พริบตาเดียวจะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ฟางเจิ้งยืนเหม่ออยู่ใต้ต้นโพธิ์ จะหนึ่งเดือนแล้ว นอกจากไม่กี่คนที่มาในตอนแรกก็มีแค่หมาป่าเดียวดายที่ไปๆ มาๆ ไม่มีใครอื่นเลย วัดซ่อมใหม่แล้ว แต่กลับยังเงียบเหงา…
“เฮ้อ ดูท่าภารกิจคงไม่สำเร็จแล้ว” ฟางเจิ้งพูดพยางยิ้มเฝื่อน
เขากินข้าวผลึกมาตลอดหนึ่งเดือน แม้จะไม่ใช่ข้าวผลึกทั้งหมด แต่ร่างกายเขาปรับเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ผิวหนังขาวเนียนขึ้น ถอดเสื้อผ้าออกเห็นกล้ามเนื้อเป็นลายเส้น สมส่วนทั้งยังเต็มไปด้วยพละกำลัง สวมจีวร หัวโล้นเปล่งแสงจ้าตา
ประกอบกับอ่านพุทธคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน ไหว้พระทุกวัน กราบไหว้ทุกวัน ภายใต้ การถูกกล่อมเกลาด้วยบรรยากาศเงียบสงบบนเขาทีละน้อย เขาจึงถอดความใจร้อน ต่อโลกเมื่อครั้งเพิ่งขึ้นเขาออกไป ดูมีกำลังวังชา ทั้งยังเข้าใกล้พุทธะมากกว่าเดิม ไม่ว่ายืนอยู่ที่ใดก็แผ่กลิ่นอายสงบเงียบและเป็นมงคล…
นอกจากนี้ฟางเจิ้งยังชอบความสะอาด จุดนี้จะเห็นได้จากที่เขาทำความสะอาดอุโบสถจนเกลี้ยงเกลาทุกวัน หลวงจีนผู้ขาวสะอาดและสง่าคู่กับเอกลักษณ์เงียบสงบและเป็นมงคล ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์สีเขียวเป็นมันขลับที่รนหาที่ตาย ทำให้ดูค่อนข้างเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งม้วนภาพวาดงดงามเลิศล้ำ
มีเพียงอย่างเดียวที่ต่างไป จีวรตัวนี้ขาดเล็กน้อย…
“ระบบ ตอนนี้วัดเรามีความศักดิ์สิทธิ์รึยัง?” ฟางเจิ้งเบื่อมากแล้ว นึกถึงเรื่องที่ ตู้เหมยกับหยางหวาสองคนขอ จะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ใกล้จะได้รู้คำตอบแล้ว
“กายทองคำวัดคือ ร่างที่ระบบเบิกเนตร! แน่นอนว่าต้องมีความศักดิ์สิทธิ์! ขอแค่มีความจริงใจ หากไม่มีก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์! แต่ว่าในวัดมีแค่พระแม่กวนอิมปางประทานบุตร ดังนั้นจะศักดิ์สิทธิ์แค่กับการขอลูก หากขอเรื่องเงินทองก็ไม่ได้” ระบบตอบกลับ
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็วางใจ
ขณะเดียวกัน ในโรงพยาบาลประจำอำเภอซงอู่นอกหมู่บ้านเอกดรรชนี
“ผมบอกพวกคุณไปกี่ครั้งแล้ว? ทำไมถึงไม่ปล่อยวางสักที? ปีนี้พวกคุณมาตรวจที่โรงพยาบาลสามครั้งแล้ว! ครั้งก่อนก็เพิ่งเดือนนี้เองไม่ใช่เหรอ? ไม่ได้มาเดือนเดียว พวกคุณก็มาอีกแล้ว…นี่พวกคุณไม่เชื่อวิชาแพทย์ขนาดนั้นเลยรึไง?” หมอหนุ่มมอง สามีภรรยาชาวนาตรงหน้าด้วยความจนปัญญา
“หมอ ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” หยางหวารีบตอบกลับ
หมอไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พวกคุณก็พูดอย่างนี้ทุกครั้งนี่? ผมจะบอกให้นะ ถ้าพวกคุณจะตรวจผมไม่ขวางหรอก แต่พวกคุณเป็นคนใช้จ่ายเงินง่าย ที่ผมห้ามก็เพราะหวังดี ไม่อยากให้เปลืองเงิน รู้ไหม? พวกคุณสองคนมีปัญหาที่แก้ไม่ได้น่ะเข้าใจไหม?”