The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 200 ไม่ถ่ายแล้ว
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 200 ไม่ถ่ายแล้ว
สองคนยิ้มแห้งๆ จากนั้นยกนิ้วโป้งพร้อมกัน “ยอดเยี่ยม!”
แต่จ้าวหงเสียงก็ยังถาม “ผู้กำกับอวี๋ หลวงจีนนี่…ไต้ซือท่านนี้ถอดกาสาวะออกในตอนสุดท้าย โชว์จีวรขาวก็เป็นบทของคุณเหรอ? บทนี้สุดยอดมาก สวยจริงๆ! ตอนนั้นผมเหมือนเห็นพระพุทธองค์เลย!”
“ใช่ สวยมาก! แต่ว่าผู้กำกับอวี๋ แบบนี้จะแย่งซีนเด่นไปหน่อยรึเปล่า” หูเซี่ยวกล่าว
“แย่งซีนจริงๆ ถ้าปล่อยออกไปตามเมื่อกี้ ทุกคนคงจะจำนักบวชลืมฮวามู่หลัน แต่ฉากดีๆ แบบนี้ผมทำใจตัดทิ้งไม่ลงจริงๆ ส่วนเรื่องกาสาวะเรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญดีกว่า ได้มาแบบเหนือความคาดหมาย” อวี๋กว่างเจ๋อไม่ได้มีนิสัยแปะทองที่หน้าตัวเองอยู่แล้ว
“ผู้กำกับอวี๋ ถ้าอย่างนั้นคุณเตรียมการไว้ยังไงบ้างครับ?” หูเซี่ยวถาม
อวี๋กว่างเจ๋อยิ้มเจื่อน “ที่ผมคิดไว้คือต่อจากนี้ยังมีอีกหลายฉาก ค่อยๆ คิด เก็บไว้ก่อนเถอะ…ต่อให้ใช้ไม่ได้ผมก็อยากเก็บไว้ มันคลาสสิคมาก…”
หูเซี่ยวกับจ้าวหงเสียงเอ่ยอย่างหน้าด้าน “ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราเก็บไว้สักชุดหนึ่งได้ไหมครับ?”
อวี๋กว่างเจ๋อยิ้ม “รองหู รองจ้าว พวกคุณจะทำอะไรกัน? เขาไม่ใช่นักแสดงมือฉมัง แถมไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอีก อายุยังน้อย ภาษิตล่าวไว้ว่าไม่มีหนวดจะทำงานไม่ดี[1] นี่…”
สองคนอายอวี๋กว่างเจ๋อจนหน้าแดง แต่ก็ยังหน้าด้านหน้าทน
อวี๋กว่างเจ๋อหัวเราะเสียงดัง “เอาเถอะ วางใจ ผมจะเก็บไว้ให้”
สองคนนี้ถึงกับยิ้ม แม้จะขายหน้าไปบ้าง แต่ได้เก็บฉากที่คลาสสิคแบบนี้ก็ถือว่ากำไรแล้ว
“หืม? หลวงพี่ฟางเจิ้งล่ะ? หลินตงสือ หลวงพี่ฟางเจิ้งล่ะ? แกเห็นไหม?” อวี๋กว่างเจ๋อรู้ตัว มองไปรอบๆ ไม่พบฟางเจิ้งจึงถามไปในทันที
หลินตงสือพลันวิ่งเข้ามา “ผู้กำกับ หลวงพี่ฟางเจิ้งกลับวัดเอกดรรชนีแล้วครับ ปิดประตูแล้วด้วย ผมไปเคาะมาแล้วเขาบอกว่าอยากอยู่เงียบๆ แล้วยังบอกอีกว่าถ่ายฉากต่อจากนี้ไม่ได้แล้ว”
“อะไรนะ ไม่ถ่ายแล้ว?!” อวี๋กว่างเจ๋อร้อนใจโดยพลัน ร้องขึ้นมาว่า “แสดงดีขนาดนี้จะไม่เล่นแล้ว? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หูเซี่ยวว่า “อยากจะเพิ่มค่าตัวรึเปล่า?”
“เพิ่มค่าตัวกับผีสิ เขามีน้ำใจแสดงให้ ไม่ได้จ่ายเงิน” อวี๋กว่างเจ๋อตอบ
“ก็ถูกแล้วนี่ คุณไม่ให้เงิน ผมก็ไม่แสดงให้หรอก” หูเซี่ยวโต้กลับ
“ผมจะไปดู” อวี๋กว่างเจ๋อขี้เกียจจะเถียงกับคฤหัสถ์คนนี้ จึงหลีกออกจากทุกคน ก้าวเล็กๆ ไปยังหน้าประตูวัด ปิดประตูใหญ่แล้วจริงๆ
อวี๋กว่างเจ๋อเคาะประตูใหญ่ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ผมผู้กำกับอวี๋กว่างเจ๋อนะ ท่านอยู่ไหม? ได้ยินไหมครับ?”
“ประสก มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ประตูใหญ่เปิดออก ฟางเจิ้งอยู่ตรงหน้าประตู
อวี๋กว่างเจ๋อเห็นฟางเจิ้งหน้าเศร้าพลันอึ้งไป ก่อนจะเข้าใจแจ่มแจ้ง นี่คงจะอินมากเกินไป กำลังเสียใจ! อวี๋กว่างเจ๋อจึงว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ยังเสียใจกับเรื่องในฉากอยู่เหรอครับ?”
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงจะแค่ฉากเดียว แต่ในนั้นมีสิ่งที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้มากเกินไป” มีบางความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน วันนี้ได้สัมผัสอย่างกะทันหัน ได้สัมผัสลึกซึ้งเกินไปเลยยังกลับมาสงบไม่ได้อีกนาน
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านอินกับบทน่ะครับ ซึ่งความจริงแล้วการอินบทเป็นทักษะพื้นฐานที่สุดของนักแสดง ถ้าทำไม่ได้นั่นไม่เรียกแสดงหนัง แต่เรียกถ่ายหนัง ทว่าสมัยนี้คนที่อินกับบทได้มีน้อยมาก ท่านเป็นคนที่อินเร็วที่สุดตลอดหลายปีที่ผมทำงานภาพยนตร์มา เพียงแต่ไม่นึกเลยว่าท่านจะอินมากเกินไป…นี่เป็นความสะเพร่าของผมเอง” อวี๋กว่างเจ๋อกล่าว
ฟางเจิ้งประนมสองมือยิ้ม “ประสกอย่าโทษตัวเอง เพราะประสกให้อาตมาได้เข้าใจชีวิตที่สอง โอกาสแบบนี้หายาก…”
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ถ้าอย่างนั้นฉากต่อไป…” อวี๋กว่างเจ๋อเหมือนเห็นความหวัง การแสดงของฟางเจิ้งอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็อินกับบทได้ นั่นคือดีที่สุด คือการแสดงที่เป็นธรรมชาติที่สุด! ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว เขาย่อมหวังว่าในหนังตนจะมีคนแบบนี้เพิ่มมา
แต่ฟางเจิ้งกลับส่ายหน้า “ประสก อาตมาฝึกฝนมาไม่พอ ไม่เหมาะจะถ่ายต่อแล้ว ขอโทษจริงๆ นะ…”
ฟางเจิ้งไม่อยากถ่ายต่อจริงๆ เพราะตอนที่จัดระเบียบเสื้อให้ศพเหล่านั้น เขาไม่ได้สัมผัสเพียงทหารแห่งเว่ยเหนือ แต่ยังมีทหารเผ่าโหรวหรานด้วย ทหารของเว่ยเหนือเป็นวีรบุรุษ ถ้าอย่างนั้นทหารโหรวหรานเป็นอะไร? พวกคนชั่วช้า? เห็นได้ว่าไม่ใช่
ผู้สังหารคือคนชั่ว ไม่สังหารคนแต่กลับถูกฆ่า เช่นนั้นสังหารคนก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูก? การทำสงครามเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศเป็นบาปกรรมหรือไม่? เข่นฆ่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชนเป็นบาปกรรมหรือไม่?
ในใจฟางเจิ้งคิดว่าการฆ่าคนชั่วน่าจะไม่ใช่ความผิด แต่คำพูดจากในพุทธคัมภีร์กลับทำให้เขารู้สึกขัดแย้ง ความว้าวุ่นในใจทำให้ไม่อยากถ่ายต่อ เขาแค่อยากชะล้างปม ไม่อย่างนั้นช่วงนี้คงอยู่ไม่ได้ นาสมาธิก่อนหน้าก็หนักหนาพอแล้ว
“นี่ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ผมจะบอกแบบนี้นะ ท่านถ่ายดีมาก ดีสุดๆ ถ้าเป็นไปได้ผมหวังให้ท่านถ่ายต่อ นี่เป็นหนังใหญ่ อนาคตจะดังไปทั่วโลก ถึงตอนนั้นท่านจะส่งเสริมพระธรรมให้รุ่งเรือง ชื่อเสียงของท่านกับวัดเอกดรรชนีจะโด่งดังไปทั่ว” อวี๋กว่างเจ๋อโน้มน้าว
ฟางเจิ้งเริ่มสนใจนิดๆ แต่หลวงจีนหนึ่งนิ้วเคยบอกว่า ‘เขาหวังจะให้วัดเอกดรรชนีเป็นวัดใหญ่หมายเลขหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีคุณธรรม มีแต่วัดใหญ่ นั่นไม่ใช่บุญบารมี แต่เป็นกรรมชั่ว สร้างวัดก่อนสร้างคน สร้างคนก่อนสร้างคุณธรรม’คุณธรรมที่ว่านี่หมายถึงการฝึกพระธรรม
หลังเดินทางไปวัดเมฆาขาว ฟางเจิ้งรู้เลยว่าตนฝึกพระธรรมไม่เพียงพอ ตอนนี้ญาติโยมมาน้อย ถ้าอนาคตมีญาติโยมมาเยอะขึ้น คนที่มาขอให้ไขข้อสงสัยเยอะขึ้นเขาจะรับมือยังไง? ระบบไม่มีทางให้ลิ้นบัวเบ่งบานเขาทุกวันแน่ ดังนั้นเขาเลยอยากก้าวไปอย่างมั่นคง เดินหน้าไปทีละนิด ไม่ใช่ก้าวกระโดดเข้าไป จะตกลงไปตายเปล่าๆ
ดังนั้นฟางเจิ้งเลยว่า “อมิตาพุทธ ประสก ถึงอาตมาจะอยากพัฒนาวัด แต่อาตมามีคุณธรรมไม่เพียงพอ เกรงว่าจะรับชื่อเสียงแบบนั้นไม่ไหว ขอบคุณความปรารถนาดีของประสกมากนะ อาตมาไม่อยากถ่ายแล้วจริงๆ…อีกอย่าง ประสกหลินเคยบอกว่าครั้งนี้แค่ถ่ายแก้ขัดเท่านั้นเอง อาตมาเชื่อว่าจะมีหรือไม่มีอาตมาก็น่าจะเหมือนกัน”
อวี๋กว่างเจ๋อตะลึงงัน เขาเคยเจอนักบวชมาไม่รู้เท่าไร นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับหลวงจีนถ่อมตัวแบบนี้ คุณธรรมไม่พอกลัวจะรับชื่อเสียงแบบนั้นไม่ไหว? ในโลกนี้จะมีคนมีชื่อเสียงสักกี่คนกันที่มีคุณธรรมคู่ควรกับฐานะพวกเขา? คุณธรรมไม่คล้องกับฐานะมีเยอะจนชินแล้ว เพียงแต่ว่าทุกคนไม่พูดตรงๆ ก็เท่านั้น
เจอกับหลวงจีนตรงหน้า อวี๋กว่างเจ๋อพลันพบว่าผู้กำกับใหญ่อย่างเขาอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายแล้วเตี้ยลงเหมือนกัน เขายังแสวงหาชื่อเสียง แต่หลวงจีนตรงหน้ากลับปล่อยวางอย่างแท้จริง อายุแค่นี้กลับมีอุปนิสัยแบบนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอนาคตจะต้องเป็นไต้ซือแห่งยุคแน่นอน
…………………………………..………..
[1] ไม่มีหนวดจะทำงานไม่ดี หมายถึงวัยรุ่นจะทำงานสู้ผู้ใหญ่ไม่ได้