The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 215 ก่อเรื่องถึงที่
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 215 ก่อเรื่องถึงที่
“มี” ระบบตอบ
“ทำไมล่ะ? แนวคิดแบบนี้มันผิดชัดๆ ผลลัพธ์ที่เกิดจากความเมตตา ไม่แย่น้อยไปกว่าคนชั่วหรอก” ฟางเจิ้งขมวดคิ้วถาม
“แต่ว่านั่นก็เป็นความเมตตาจริงๆ เป็นคุณความดีจากใจคนคนหนึ่ง จุดนี้นายคัดค้านไม่ได้ ทว่า ความเมตตานี้เป็นเพียงคุณความดีเล็กๆ เทียบไม่ได้กับคุณความดีใหญ่ๆ” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร ทว่าในใจกลับไม่ยอมรับที่ระบบพูดมา ความชั่วที่เกิดจากความเมตตา นั่นคือความเมตตาจอมปลอม ต่างอะไรกับการทำชั่ว? เมื่อก่อให้เกิดผลร้าย แล้วความเมตตานั้นจะมีความหมายอะไร?
ขณะเดียวกัน บางแห่งในยุโรป
“เดวิดตายแล้ว?” ลูก้ากับสมิธมองตากัน ต่างเห็นถึงความตกใจในแววตาอีกฝ่าย!
“ลูก้า จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่านายเป็นเด็กโชคดีว่ะ” สมิธกล่าว
ลูก้าพยักหน้าตาม “ใช่ อย่างน้อยฉันก็ยังรอด ไม่ได้ถูกยอดฝีมือคนจีนนั่นส่งไปพบพระเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นเลี้ยงฉันสักแก้วเป็นการฉลองที่นายรอดดีไหม?” สมิธถามอย่างเจ้าเล่ห์
“ถ้านายอยากถูกฉันตีตาย ฉันก็ไม่ถือ” ลูก้าจ้องสมิธด้วยความโกรธ เขาชดใช้เงินไปแล้วแถมยังถูกหลอกอีก จากนั้นจึงเบี่ยงประเด็นไป “สมิธ นายจะแบล็กเมลต่อไปไหม?”
สมิธส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “แน่นอน…ว่าไม่! ฉันว่าจะทำงานเก่าเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ นายดูสิ มันเป็นงานระดับสูงจะตายไป แล้วนายล่ะ?”
ลูก้าตอบ “ฉันอยากไปจีนสักรอบ แต่ยังไม่ได้จัดตารางเลย ว่าจะไปพบไอ้คนที่มันเล่นงานคอมฉันสักหน่อย อืม…สู้ทางคอมพิวเตอร์ไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงฉันน่าจะต่อยเขาสักหมัดได้ เงินหมื่นยูโรของฉันจะเสียเปล่าไปแบบนี้ไม่ได้…” ลูก้ามองลูกรักตัวเองด้วยอาการอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
สมิธหัวเราะ
ขณะเดียวกัน บุญกุศลของฟางเจิ้งกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ
“ฆ่าคือไม่ฆ่า ไม่ฆ่าคือฆ่า” ขณะที่ฟางเจิ้งพูดพึมพำ ก็พิมพ์ประโยคนี้ลงในเว็บบอร์ดพุทธศาสตร์ศึกษา จากนั้นกดออก เขาแค่แสดงความเห็นของตน ไม่ได้อยากโต้เถียงหรืออภิปรายกับใคร
ฟางเจิ้งเก็บมือถือ เริ่มทำความสะอาดอุโบสถ หลังจากกวาดใบไม้ร่วงติดต่อกันมาหลายวัน จิตใจเจ้าลิงดีขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยทำงานก็ไม่ใจร้อนแล้ว ดังนั้นฟางเจิ้งจึงเพียงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร เจ้าลิงยังต้องกวาดใบไม้ อุโบสถเป็นหน้าที่เขากับกระรอก ส่วนหมาป่าเดียวดายยังคงเป็นกองกำลังหลักในการตักน้ำ
หมาป่าเดียวดายตักน้ำได้มีจุดเด่นของมันมาก แบกถังสองใบบนหลังอย่างมีเอกลักษณ์ ยืนอยู่ใต้กระแสตาน้ำพุ จากนั้นก็เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าทุกครั้งตัวมันจะเปียกปอน จุดนี้มันไม่ชอบเอามากๆ
ช่วงเที่ยง พนักงานส่งของหูทั่นมาเยือน มาอย่างรีบร้อน วางพัสดุลง ให้ฟางเจิ้งเซ็น ก่อนจากไปโดยไม่พูดสักคำ เห็นได้เลยว่าตั้งใจทำงานมาก…
ฟางเจิ้งประนมสองมือไปทางแผ่นหลังของหูทั่น สวดบทหนึ่งเป็นการส่ง พอเปิดห่อพัสดุออกดู ฟางเจิ้งแย้มยิ้ม
“กระรอก ของขวัญนายมาแล้ว!” ฟางเจิ้งตะโกนเรียก เจ้ากระรอกพลันวิ่งออกมาจากในรัง หันหน้ามา ดวงตาเปล่งประกายทันใด กระโดดไปมาอยู่กับที่
“นี่บ้านใหม่ที่สีกาหม่าเจวียนส่งมาให้ เป็นยังไง? ชอบไหม?” ฟางเจิ้งชูบ้านกระรอกสูงหนึ่งเมตรขึ้นสูงพลางพูดยิ้มๆ
กระรอกกระโดดหมุนตัวอยู่กับที่สองครั้ง แต่เพราะอ้วนเกินไปเลยล้มคว่ำลง
เจ้าลิงที่กำลังกวาดพื้นคว้าหางมันรับไว้ได้ ก่อนจะวางลงบนพื้น เคาะหัวกระรอกไปทีหนึ่ง เหมือนกำลังต่อว่าว่าอย่าใจร้อนเกินไป
ฟางเจิ้งยิ้ม เจ้านี่ที่ใจร้อนที่สุดเริ่มต่อว่าคนอื่นว่าใจร้อนแล้ว
บ้านใหม่ของเจ้ากระรอกมีสามชั้น โครงสร้างข้างในแบ่งเป็นห้องๆ เหมือนบ้านของคนทั้งหมด ดูน่าสนใจมาก มีเตียง โซฟา และยังมีทีวีเลียนแบบ บันไดวน หลังบ้านมีดาดฟ้า หลังดาดฟ้าแขวนวงล้อวิ่งหนูอันใหญ่ไว้ ฟางเจิ้งจัดวางบ้านใหม่ให้กระรอกพลางถอนหายใจ คนสู้กระรอกไม่ได้แท้ๆ…เขายังไม่ได้อยู่บ้านหรูหราโมเดิร์นแบบนี้เลย แต่เจ้ากระรอกได้อยู่ก่อนแล้ว
วางบ้านใหม่ให้กระรอกเสร็จ ฟางเจิ้งถ่ายภาพส่งไปให้หม่าเจวียน อย่างไรซะก็เป็นน้ำใจคนอื่นเขา ยังไงก็ต้องขอบคุณสักหน่อย
หม่าเจวียนไม่ได้ออนไลน์ ฟางเจิ้งจึงเก็บมือถือแล้วเรียกหมาป่าเดียวดายออกไปเดินเล่นกัน
เจ้ากระรอกมีบ้านใหม่แล้ว กำลังตื่นเต้นพอดี จะมีเวลาสนใจมาฟางเจิ้งได้ยังไง ส่วนเจ้าลิงกวาดใบไม้เพื่อให้มีข้าวเที่ยงกิน จึงได้แต่อยู่ที่นี่ไป
เมื่อออกประตูไป ฟางเจิ้งเห็นญาติโยมมากันหลายคน แต่ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนจะไม่ดีนัก
พวกเขามากันห้าคน แต่ละคนมีสีหน้าหาเรื่อง ชายสามหญิงสอง ผู้หญิงที่นำหน้ามายิ่งดูโกรธเอามากๆ
ฟางเจิ้งกังวลแล้ว เขาคงไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีอะไรเข้าใช่ไหม?
ขณะเขากำลังตรึกตรอง ห้าคนนี้ก็มาถึงหน้าประตู พอเห็นฟางเจิ้งผู้หญิงที่นำมาต่อว่าอย่างโกรธเคือง “ฟางเจิ้ง ฉันรู้จักแก แกคือเจ้าอาวาสวัดนี้ใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ อาตมาเอง สีกามีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“แกมันพวกต้มตุ๋น! ฉันจะตีลาหัวล้านอย่างแกซะ!” พูดจบผู้หญิงคนนั้นจะลงมือ ผู้ชายสามคนข้างหลังก็ด่าทอตามมา หนึ่งในนั้นหวีผมเสยปาดเรียบ ตะคอกต่อว่า “วัดผุพังแบบนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์สักนิด ยังมีหน้าไปโอ้อวดหลอกคนอื่นเขาไปทั่วอีก! วันนี้ฉันจะพังวัดแกซะ!”
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว เจ้าหมาป่าโผล่หัวออกมาจากข้างหลัง แสยะปากแยกเขี้ยว เขี้ยวสีขาวคมกริบดั่งมีด ร่างกายใหญ่ประหนึ่งวัว ท่าทีดุร้าย ทำให้คนพวกนี้ที่เดิมทีทำเป็นโหดตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ผู้หญิงที่จะลงมือพูดขึ้นว่า “ฟางเจิ้ง แกจะทำอะไร? ฉันจะบอกให้นะ ทำร้ายคนอื่นมันผิดกฎหมาย ปล่อยหมามากัดคนก็ผิดกฎหมาย!”
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดแล้ว คนนี้เป็นพวกสองมาตรฐานจริงๆ เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะหมาป่าเดียวดายโหดกว่าพวกเขา เป็นไปได้กว่าครึ่งว่าคนพวกนี้อาจจะลงมือกันแล้ว แบบนั้นไม่เรียกว่าผิดกฎหมายเหรอ?
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ พวกโยม มันคือหมาป่าภูเขา เคยออกข่าวไปแล้ว อาตมาคุมมันไม่ได้หรอก ดังนั้นพวกโยมใจเย็นลงหน่อยดีกว่า เดี๋ยวมันจะตกใจเอา ผลจากนั้นจะเป็นยังไงอาตมาบอกไม่ได้จริงๆ”
“แก…” คนพวกนี้พลันกังวลในใจ พวกเขาเป็นคนจากหมู่บ้านใกล้เคียง ถือว่าคุ้นเคยกับฟางเจิ้งประมาณหนึ่ง ก่อนหน้านี้ได้ยินคนพูดถึงฟางเจิ้งบ่อยๆ รู้ว่าเณรน้อยที่ไม่มีพิษสงอะไรคนนี้น่ารังแกชะมัด
แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นเลย! หลวงจีนนี่อาจจะรังแกได้ แต่หมาป่านี่รังแกไม่ได้!
“พี่ เอาไงดี?” วัยรุ่นที่ดูบุ่มบ่ามนิดๆ คนหนึ่งถาม
“ทำไงล่ะ? ถ้าแกชนะหมาป่านั่นได้ พวกเราก็จะได้ระบายอารมณ์กับเขาสักยก” หวงเกาหลันพูด
วัยรุ่นคนนั้นยิ้มแห้งๆ “สู้ไม่ได้อะ”
หวงเกาหลันมองค้อนอีกฝ่าย ก่อนชี้ฟางเจิ้ง “ฟางเจิ้ง แกอย่าขัดขืน แกบอกไม่ใช่เหรอว่าวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์? ไหนว่าขออะไรก็ได้ไง ทำไมฉันขออะไรแล้วไม่ได้เลย? ดูถูกฉันเหรอไง หรือว่าแกมีสูตรยาลับที่ไม่บอกฉัน?”
เป้าหมายของหวงเกาหลันครั้งนี้ไม่ได้จะมาทำร้ายหรือพังวัด แต่มาเพื่อสูตรยาลับ หลายคนขอไปได้กันทั้งนั้น แต่เธอขอไม่ได้ เธอคิดว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ขอพระพุทธ แต่ขอสูตรยาลับถึงได้สัมฤทธิผล