The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 229 ผีพรายหัวโล้น
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 229 ผีพรายหัวโล้น
พูดจบหงเชียนสี่ก็มุดหัวลงไปในน้ำ ใช้สองมือดันขาหงเชียนเจี๋ยกับผู้หญิงคนนั้น ส่วนตัวเองมุดลงไปอยู่กลางหญ้าใต้น้ำ น้ำริมฝั่งไม่ลึกมาก อยู่ที่ประมาณสองเมตร หงเชียนสี่เหยียบหินแตกข้างล่างไว้ และออกแรงดันหงเชียนเจี๋ย ทว่ากระแสน้ำวนทำให้เขายืนไม่นิ่ง แรงกดดันเยอะมาก อากาศในปากใกล้จะหมดลง ดีที่น้ำวนมาแล้วครู่เดียวก็หายไป ไม่อย่างนั้นไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าสองคนก็ยังถูกหญ้าใต้น้ำพันไว้ ถ้าไม่มีคนช่วยเกรงว่าคงจะเคราะห์ร้ายมากกว่าดี
หงเชียนเจี๋ยข้างบนรู้สึกว่าสองขามีคนดันขึ้นมา น้ำตาพลันไหลพราก ตะโกนเสียงดังว่า “พี่ ขึ้นมา ขึ้นมา!”
ด้านบนสะพาน ทุกคนเห็นดังนั้นก็ร้อนใจเหมือนกัน
คนที่ว่ายน้ำเป็นคิดจะลงน้ำ แต่คนอื่นห้ามเอาไว้ ลงน้ำตอนนี้ ลงไปเท่าไรก็ตายเท่านั้น ไปไม่กลับแน่ๆ
ไกลออกไปมีคนหาเชือกเจอแล้ว จึงวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
หวังโอ้วกุ้ยเห็นแบบนี้จึงหมุนตัวกลับขึ้นรถจักรยานยนต์ แต่กลับพบว่าฟางเจิ้งหายไปแล้ว! เหลือแค่ลิงที่ปีนดูอยู่บนสะพาน
หวังโอ้วกุ้ยไม่สนใจ ฟางเจิ้งตัวใหญ่ขนาดนั้นน่าจะไม่เป็นอะไร เลยขี่จักรยานยนต์ไปทางคนที่ถือเชือกวิ่งมาเพื่อแข่งกับเวลา คราวนี้ทุกคนได้แต่ทำกันอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ส่วนผลที่ได้…
ใต้น้ำ น้ำวนรอบแรกผ่านไปแล้ว แต่ก็เกิดน้ำวนที่สองอีก ครั้งนี้น้ำวนใหญ่กว่าเดิม รุนแรงกว่าเดิม!
หงเชียนสี่ยันไว้ไม่ไหวแล้ว ลมหายใจไม่พอ ขาก็เลื่อนลอยยืนไม่มั่นคง เมื่อน้ำวนมาถึงก็แทบจะล้มลง มีอย่างเดียวที่เขาเบาใจคือน้ำวนนี่ม้วนมาแล้วก็หายไป
ชั่วขณะที่หงเชียนสี่ดวงตาพร่าเลือน ใกล้จะหมดสติไปแล้วนั้น เขาเห็นคนคนหนึ่งมุ่งหน้ามา สวมชุดคลุมขาว เส้นผมเป็นเขียว ในมือเหมือนถือบางอย่างไว้ จึงตื่นตกใจ ‘ผีพราย? หรือว่าจะมีผีจริงๆ?’
ด้วยความตกใจ หงเชียนสี่ตื่นตัวขึ้นมา พอมองดีๆ ถึงเห็นเป็นหลวงจีนเดินมาใต้น้ำ! บนหัวไม่ใช่เส้นผมเขียว แต่เป็นหญ้าใต้น้ำพันไว้ หลวงจีนนี่ไม่รู้เอาแรงมาจากไหน ขณะเดินมาหญ้าใต้น้ำถูกดึงขาดหมด แถมยังเดินหน้ามาด้วยความรวดเร็ว
ไม่นานหลวงจีนก็เดินมาถึงตรงหน้า ยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนกางสองมืออย่างคล่องแคล่ว หญ้าที่พันหงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยและผู้หญิงคนนั้นถูกดึงขาดหมด จากนั้นยังจับบ่าเขาส่งขึ้นไปข้างบน!
ทุกคนบนสะพานต่างได้ยินเสียงดังโครม หงเชียนสี่ที่เพิ่งดำลงไปขึ้นมาเหนือน้ำ อ้าปากกว้างร้องเสียงดัง สูดลมหายใจเข้าลึก! พริบตานั้นหงเชียนสี่เกิดความรู้สึกกลัวหลังจากรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ที่มากกว่านั้นคือ…อากาศหอมหวานจริงโว้ย!
หงเชียนเจี๋ยเห็นพี่ชายขึ้นมาแล้วก็ดีใจยกใหญ่ ขณะเดียวกันผู้หญิงในอ้อมแขนก็เบาแรงขึ้นไม่น้อย เธอลอยขึ้นมา พออากาศเข้าไปในปากก็ได้สติ เห็นหงเชียนเจี๋ยที่กำลังช่วยเธอรางๆ จึงร้องขึ้นทันที “อย่าช่วยฉัน ให้ฉันตายไป! ให้ฉันตายไป!”
ขณะกำลังร้องอยู่นั้น เธอพลันรู้สึกว่าตรงข้อเท้ามีมือคว้าไว้ มือนั้นเย็นเยียบ…เธอกล้ายืนยันว่านั่นคือมือคนแน่นอน ไม่ใช่หญ้าใต้น้ำ! วินาทีนั้นเธอขนลุกไปทั้งตัว ร้องโวยเสียงดังลั่นว่า “ผี!” ก่อนจะตาเหลือกหมดสติไป
เมื่อเธอหมดสติไม่ดิ้นแล้ว หงเชียนเจี๋ยถอนหายใจโล่งอกโดยพลัน ถ้าเธอดิ้นคงได้เป็นอันตรายจริงๆ แน่ แต่เธอตะโกนว่าผีหมายความว่ายังไงกัน? ลักษณะเขาเหมือนผีเหรอ?
หงเชียนเจี๋ยกำลังจะพาคนไปส่งที่ฝั่ง หน้าพลันเปลี่ยนสี เขารู้สึกว่ามีคนกำลังคลำขาเขา! เขามั่นใจเต็บสิบว่านั่นคือมือคน! แต่หงเชียนสี่อยู่ตรงนี้นี่ แล้วในน้ำนั่นมันอะไร? พอนึกถึงคำว่าผีที่ผู้หญิงคนนั้นตะโกน หงเชียนเจี๋ยรู้สึกอยากจะร้องไห้ นี่มันโคตรน่ากลัวเกินไปแล้ว ขนลุกขึ้นเป็นตุ่มๆ ไปทั้งตัว เขาพลันถีบมั่วๆ ตามจิตใต้สำนึก! แต่เหมือนจะถีบโดนหินลื่นๆ อะไรบางอย่างเข้า แข็งมาก…
ฟางเจิ้งที่อยู่ใต้น้ำละเหี่ยใจแล้ว สองคนข้างบนนี่มันอะไรกัน? คนหนึ่งคลำแล้วก็แข็งทื่อไป อีกคนจับปุ๊บก็ถีบลงมามั่วๆ หัวเขาโดนเหยียบไปหลายทีแล้ว เล่นกันดีๆ ไม่ได้รึไง?
ฟางเจิ้งเลยกางมือออก คว้าขาสองข้างของอีกฝ่ายไว้ซะ เขามีแรงเยอะเหลือเกิน อีกฝ่ายดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด ได้แต่ปล่อยให้ฟางเจิ้งดันขึ้นไป
หงเชียนเจี๋ยรู้สึกได้ว่าแรงมหาศาลแล่นเข้ามา ร่างกายลอยขึ้นมาเอง พร้อมกันนั้นก็ร้องว่า “พี่ ข้างล่าง…”
“ฉันรู้ เขาช่วยฉันไว้ อย่าขยับมั่วซั่ว เขาไม่ใช่ผีร้าย” หงเชียนสี่ไม่ได้มองฟางเจิ้งเป็นคน ถ้าเป็นคน ใครมันจะไม่ต้องหายใจใต้น้ำแถมยังมีพละกำลังเยอะอีก?
หงเชียนเจี๋ยไม่กล้าขยับ อีกฝ่ายดันเขาจริงๆ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกระชากลงไป
ฟางเจิ้งเห็นสามคนไม่ขยับ จึงกอดขาพวกนั้นไว้แล้วส่งไปทางฝั่ง
คลองลูกข่างไม่ลึกนัก เดิมทีฟางเจิ้งไม่อยากส่งสามคนนี้ไป ถ้าเกิดเผยตัวจะอธิบายยากมาก แต่น้ำนี่หนาวเกินไปแล้ว เขากลัวว่าสามคนนี้จะตัวแข็งและเป็นอันตราย จึงลากไปส่งที่ริมฝั่งเสียเลย
ตอนนี้เอง หวังโอ้วกุ้ยกลับมาแล้ว ยืนอยู่ริมฝั่ง โยนเชือกไปแล้วตะโกนเสียงดัง “จับเชือกไว้ เดี๋ยวจะดึงพวกคุณขึ้นมา!”
หงเชียนสี่คว้าเอาไว้ ทั้งสามคนกอดกันกลมเป็นก้อน ถูกชาวบ้านบนฝั่งลากขึ้นมา
ฟางเจิ้งเห็นว่าข้างบนมีแรงดึงทั้งสามคนแล้วจึงปล่อยมือ สามคนนี้ถูกดึงกลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว ฟางเจิ้งมั่นใจแล้วว่าพวกนั้นปลอดภัยจึงเดินลงไปใต้น้ำลึก จากนั้นอ้อมไปอีกฝั่งของแม่น้ำและปีนขึ้นไป
เมื่อขึ้นฝั่งมาก็เห็นเจ้าลิงนั่งรออยู่บนฝั่ง
ฟางเจิ้งงุนงง “นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ฉันเห็นหัวโล้นของนาย” ลิงตอบไปตามเหตุตามผล
ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง ลิงเห็นแล้วคนอื่นจะไม่เห็นเหรอ? แต่ก็ไม่เป็นไร เขากระโดดอยู่กับที่ น้ำตามตัวตกลงบนพื้นเสียงดังซ่า จีวรขาวแห้งเหมือนตอนแรก หัวโล้นยิ่งจัดการเรียบร้อยดี เช็ดๆ ไปตามมือ ตอนเดินมาถึงหัวสะพาน สายลมพัดแดดออกก็แห้งพอดี
จากนั้นฟางเจิ้งหยิบรองเท้าข้ามฟากออกมาสวม เดินไปทางหัวสะพาน เกาะราวสะพานมองไปข้างล่าง เห็นพวกหวังโอ้วกุ้ยลงแรงช่วยพวกหงเชียนสี่สามคนขึ้นฝั่งพอดี สามคนนี้หนาวสั่นไปทั้งตัว พวกชาวบ้านจึงถอดเสื้อผ้ามาคลุมให้พวกเขาแก้หนาว
ตอนนี้ทุกคนต่างยุ่งกันมาก
เมื่อกู้ภัย 120 มาถึง ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป คนถูกส่งขึ้นรถกู้ภัยแล่นฉิวออกไป
หวังโอ้วกุ้ยถึงค่อยกลับขึ้นมาบนสะพาน เมื่อเห็นฟางเจิ้งอยู่ด้วยจึงยิ้มแห้งๆ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง เมื่อกี้ไปไหนมาน่ะ?”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “หาวิธีช่วยคนน่ะ แต่ดูแล้วอาตมาคงโง่ไปหน่อย โยมสามท่านนั้นเป็นยังไงบ้าง? อุบาสิกาคงไม่คิดฆ่าตัวตายอีกนะ?”
หวังโอ้วกุ้ยก็ไม่คิดอะไรมาก ฟางเจิ้งเปลี่ยนเรื่องไป ยิ้มแปลกกว่าเดิม
“ท่านคิดไม่ถึงหรอก สามคนนั้นบอกว่า…ผีพรายช่วยพวกเขาไว้! เหอะ ผมโตมาขนาดนี้เคยได้ยินแต่ว่าปลาโลมาช่วยคน ไม่ยักกะเคยได้ยินว่ามีผีพรายช่วยคน”
หวังโอ้วกุ้ยส่ายหน้า ก่อนจะติดเครื่องรถจักรยานยนต์ “เอาเถอะ ขึ้นมาเถอะครับ มาเกิดเรื่องแบบนี้ผมว่าต้องสายแน่ รอโดนบ่นแล้วกัน…”