The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 236 ฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 236 ฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าแบ่งเป็นการจับรางวัลสองครั้ง ฟางเจิ้งอาจจะจับไม่ได้ของเป็นชุด ในทางตรงข้ามอาจจะได้เป็นปืนกับกระสุน ถ้าอย่างนั้นผลที่ได้ก็ลดส่วนลงมา
ฟางเจิ้งย่อมรู้จักเวทหัตถ์เทพนพเก้าของพุทธศาสนา พุทธศาสนาเริ่มจากชมพูทวีป เปลี่ยนมาที่จีน ตอนนี้พุทธศาสนาของจีนกับของชมพูทวีปไม่ได้เกี่ยวข้องกันมากนักอีก กลายเป็นของแต่ละถิ่นนานแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของจีนมานาน แต่ฟางเจิ้งก็รู้จักเวทหัตถ์เทพนพเก้า เขาใช้เวลาศึกษาสิ่งนี้มากเป็นพิเศษ
เก้าอักขระมีต้นกำเนิดมาจากบทในคัมภีร์ของเป้าผู่จื่อเก่อหง[1] แห่งราชวงศ์จิ้นตะวันออก กล่าวว่า ‘ขออวยพรผู้เผชิญหน้ากับศัตรู จงจัดเรียงลำดับเดินหน้าไป จงสอดส่ายสายตาบ่อยครั้ง ไม่มีภัยใดเลี่ยงมิได้’ ความหมายคือเก้าอักขระนี้สามารถเลี่ยงภัยได้ทุกอย่าง นิกายมนตรยานได้รับผลกระทบจากลัทธิเต๋าของจีน ทว่าตอนที่คัดลอกเก้าอักขระนี้ได้คัดลอกคำว่า ‘จงจัดเรียงลำดับเดินหน้าไป’ เป็น ‘จัดเรียงลำดับไว้ข้างหน้า’ หรือ ‘เรียงลำดับไว้ด้านหน้า’ แต่ก็ใช้ตามของดั้งเดิมมาจนถึงตอนนี้ จนเปลี่ยนเป็นเรียงลำดับไว้ด้านหน้า
ดังนั้นพุทธศาสนาสมัยนี้จึงบอกว่าหลังจากพุทธชมพูทวีปเข้าสู่จีนแล้วก็รับเอาวัฒนธรรมจีนไป เกิดเป็นระบบใหม่ ไม่ใช่พระธรรมชมพูทวีปที่บริสุทธิ์ดั้งเดิมอีก
“ระบบ ฉันไม่เข้าใจมาตลอดเลยว่าทำไมพุทธองค์ของบ้านเราถึงเอาเวทหัตถ์เทพนพเก้าของลัทธิเต๋ามาใช้ นี่เรียกว่าอะไร? เรียกว่าขโมยไหม?” ฟางเจิ้งถามอย่างสงสัย
ระบบตอบอย่างมีเหตุผล “พุทธศาสนามองฟ้าดินและทุกสรรพสิ่งเป็นอาจารย์ จีนมีอารยธรรมที่โดนเด่น ทำไมถึงไม่เรียนรู้ด้วยความถ่อมตน แต่ยึดถือของคนอื่นมาใช้? เล็กคือหนึ่งคน ใหญ่คือพระพุทธหนึ่งองค์ หนึ่งนิกายจะพัฒนาอาศัยเพียงกำลังของตัวเองไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะไม่ว่านายจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ในโลกนี้ก็เป็นเพียงเม็ดข้าวในทะเล มีแต่วางความหยิ่งยโสลง รับส่วนที่ดีที่สุดไป กำจัดส่วนที่ไม่ดีออก พัฒนาตัวเองไม่หยุด นี่ต่างหากคือวิถีแห่งการอยู่รอดและอยู่ยั่งยืน ฉะนั้นพุทธศาสนาของเรารับมาใช้ ขณะเดียวกันก็รับการเรียนรู้มาด้วย”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นจึงถูๆ จมูก เหมือนจะเข้าใจ หนึ่งนิกายเป็นแบบนี้ หนึ่งคนก็เช่นกัน เหมือนอย่างที่ขงจื๊อกล่าวไว้ ‘ทุกหนแห่งย่อมมีคนเก่งที่สั่งสอนเราได้’
“พูดมากจัง ตกลงนายจะรับไหม?” ระบบถาม
ยังต้องคิดอีกเหรอ? แน่นอนว่ารับ!
เมื่อฟางเจิ้งรับมา ในความคิดพลันปรากฏพระพุทธรูปองค์หนึ่ง พระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิบนดอกบัว เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ไม่รู้ด้วยว่าเป็นองค์ใด แต่เห็นสองมือชัดเจนมาก นิ้วโป้งขัดกัน นิ้วชี้ยื่นเอาปลายนิ้วชนกัน นิ้วกลางโค้งข้อต่อกระดูกชนกัน นิ้วนางไขว้กันลอดผ่านใต้นิ้วกลาง ปลายนิ้วสูงกว่านิ้วกลาง ขณะเดียวกันนิ้วก้อยก็ประกบปลายนิ้ว นี่ก็คือมุทราราชสีห์ใน เป็นเวทเจ่อหนึ่งในเก้าเวทหัตถ์เทพนพเก้า!
วินาทีที่ฟางเจิ้งดูจนเข้าใจนั้น ก็เกิดการตระหนักรู้เล็กน้อยในความคิด มุทราไม่ใช่เพียงมุทรามือ แต่ยังเป็นมุทราใจด้วย กายและใจผูกกันจึงเกิดผล
พร้อมกันนั้นเสียงแห่งพุทธดังขึ้น นั่นคือมนต์ราชสีห์ในสยบมาร ‘นอลากินซี พันเคลาเย ซอผ่อฮอ มอพอลี เซงกิดลาเย ซอผ่อฮอ[2]’
มนต์นี้ช่วยผูกมุทราใจ แต่การออกเสียงคือออกในใจเงียบๆ เมื่อสวดในใจจะเป็นท่ามุทรา
ทันทีที่คำสวดมนต์ดังขึ้น พลันปรากฏอักษรใหญ่ในความคิดฟางเจิ้ง เจ่อ!
หนึ่งอักษร หนึ่งผืนฟ้า ตอนนี้ฟางเจิ้งรู้สึกว่าได้รู้จักกับร่างกายตนเองใหม่หมด เหมือนกับว่าเซลล์ทุกส่วนในร่างกายอยู่ในการควบคุมของเขา นี่คือการควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์! ขณะเดียวกันก็พบสิ่งที่น่าประหลาด เขาสัมผัสได้ถึงร่างหมาป่าเดียวดายที่อยู่ข้างๆ เกิดความรู้สึกว่าขอแค่คิด มุทรามือและมุทราใจจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ปากเอ่ยเวทอักขระเจ่อก็จะควบคุมร่างหมาป่าเดียวดายได้ ความรู้สึกนี้มหัศจรรย์มาก…
แต่เทียบกับการควบคุมร่างหมาป่าเดียวดายแล้ว ฟางเจิ้งกลับชอบคุมทุกส่วนของร่างกายตัวเองมากกว่า
ขณะฟางเจิ้งกำลังดีใจ ก็เห็นลิงเข้ามาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
ฟางเจิ้งถามด้วยความกังวล “เจ้าลิง นายเป็นอะไร?”
“เจ้าอาวาส ฉันไม่เข้าใจเรื่องหนึ่ง” ลิงเกาหัว
ฟางเจิ้งยิ้ม “เรื่องอะไร?”
“วันนั้นผู้หญิงคนนั้นโดดน้ำฆ่าตัวตาย เจ้าอาวาสช่วยพวกเขาขึ้นฝั่ง แต่ว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นจะฆ่าตัวตายอีกจะทำยังไง? เจ้าอาวาสไม่สนใจเหรอ?” ลิงถาม
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ตบหัวลิงเบาๆ “นายเริ่มคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้วนี่ อาตมาดีใจมากนะ นี่หมายความว่านายเริ่มตระหนักรู้บางอย่างด้วยตัวเองแล้ว ในมุมมองอาตมา ชีวิตคนคนหนึ่งไม่ใช่ของทุกคน กายเนื้อนี้ ตอนแรกสุดเติบโตขึ้นจากการเชื่อมต่อกันของบุพการี ไม่ได้เข้มแข็งและเติบโตเพราะรับสิ่งต่างๆ จากสังคม ดังนั้นทุกคนจึงมีหน้าที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่างมีความหมาย แต่ไม่มีสิทธิ์ทำลายชีวิตใด ที่สำคัญที่สุดคือจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีความหวังได้ โดยเฉพาะต้องมีโลก มีสรรพชีวิต มีกรรม มีหลักการอยู่ในใจ นี่ต่างหากคือมุมมองชีวิตคนที่ถูกต้อง
แต่การฆ่าตัวตาย ในมุมมองคนส่วนใหญ่คือการกระทำตัดบาป คิดว่าเป็นการหลุดพ้น คิดว่าจบสิ้นแล้ว แต่ความจริงเป็นความคิดที่ผิด กรรมไม่ได้จบลงเพราะความตาย ในทางตรงข้าม มีชีวิตอยู่นายยังมีโอกาสจบกรรมได้ ถ้าตายไป ไม่มีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วจะจบกรรมยังไง?
พลังที่เกิดขึ้นจากกรรมจะตามติดนายที่ตายไปแล้ว แถมยังวนเวียนเป็นวัฏจักรโดยไม่รู้ตัว ทำให้นายจมดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดไปชั่วนิรันดร์ ขณะเดียวกันการฆ่าตัวตายยังเป็นบาปหนัก จะต้องตกนรก มีโอกาสที่น้อยมากๆ ที่จะได้เกิดเป็นคนอีกครั้ง
ดังนั้นการฆ่าตัวตายเป็นบาป
อาตมาก็ดี นายก็ดี ช่วยคนได้แค่ชั่วเวลาหนึ่ง ช่วยทั้งชีวิตหนึ่งไม่ได้ คนที่ผ่านความเป็นตายมาแล้วแต่ยังไม่เข้าใจความเป็นตายก็สมควรตาย เธอกระโดดลงน้ำได้สัมผัสถึงความตายไปแล้ว อาตมาช่วยเธอ เธอเห็นความหวังของการมีชีวิตรอด ถ้ายังไม่เข้าใจอีก อาตมาก็จะไม่ช่วยอีก”
ลิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยเหมือนขบคิดบางอย่าง “ฉันเข้าใจบ้างแล้วล่ะ พูดได้ว่าเจอก็ช่วย ช่วยได้ก็ช่วย ถ้าทำสุดความสามารถแล้วยังแอบไปฆ่าตัวตายอีก พวกเราก็ช่วยไม่ได้แล้วถูกไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ “เป็นอย่างนั้นเลย”
เห็นคนจะตายไม่ช่วยเลยเป็นไปไม่ได้ แต่พยายามสุดความสามารถแล้วก็ยังเกิดผลร้ายๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ไป
ลิงไปกวาดพื้นต่อ ตรึกตรองถึงปัญหา
ฟางเจิ้งนั่งในกุฏิ ศึกษาเวทหัตถ์เทพนพเก้ารวมถึงมุทราราชสีห์ใน
เมื่อชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ สภาพอากาศดีขึ้นทุกที ฟางเจิ้งพบว่าญาติโยมที่มาวัดเอกดรรชนีเยอะขึ้น ตอนแรกสุดช่วงหลายเดือนไม่มีใคร ต่อมามีคนมาทุกวัน ตอนนี้ต้องรับญาติโยมสิบยี่สิบคนต่อวันแล้ว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมาไหว้พระจากอำเภอเมืองซงอู่
เห็นแสงธูปสว่างไสวขึ้นทุกวัน ฟางเจิ้งย่อมดีใจ มีอย่างเดียวที่ไม่ปลื้มคือคนที่มาในช่วงสองวันนี้ผิดปกติไปเล็กน้อย…
“ไต้ซือคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ?” เด็กสาวสองคนวิ่งเข้ามา ถามด้วยความกระดากอายเล็กน้อย
…………………………………………………
[1]เก่อหง ชื่อจริงจื้อชวน ฉายาเป้าผู่จื่อ หรืออีกฉายาคือเก่อเซียนเวิง เป็นนักปราชญ์สายการแพทย์ในสมัยราชวงศ์จิ้น
[2]นอลากินซี พันเคลาเย ซอผ่อฮอ มอพอลี เซงกิดลาเย ซอผ่อฮอ มาจากบทมหากรุณาธารณี (บทสวดบูชากวนอิมพันมือ) บทนี้แปลความได้ว่า เป็นที่รักของผู้เจริญ เป็นที่รักของพระอริยะ การปฏิบัติให้ถือเอาสัมมาจิตและความมีสัจเป็นหลัก คุณธรรมจะสำเร็จได้ด้วยสภาวะแห่งเมตตาธรรม หากจิตตั้งอยู่ในอกุศลย่อมยากที่จะสำเร็จพระอนุตตรธรรม