The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 240 พรุ่งนี้ไปอีก
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 240 พรุ่งนี้ไปอีก
หลี่เฮ่าเผิงอยากจะพูด แต่ก็พบว่าเขาพูดไม่ได้
“ลูกคนนี้นี่ ให้เงินเขาไปแล้วแม่จะว่าอะไรลูกได้อีก? ไม่พูดแล้วจะเอายังไง?” หลิวไต้เฟินร้อนใจเล็กน้อย
หลี่เฮ่าเผิงว่า “ไม่มีอะไรครับ จากนี้ผมจะไปกวาดถนนกับแม่” พูดจบ หลี่เฮ่าเผิงร้องโวยเสียงดังในใจ ‘ฉันไม่ไป! ตื่นเช้าไม่ไหวหรอก ไม่อยากตื่นเช้า ไม่อยากกวาดถนน! ข้างนอกหนาวจะตาย ไม่ไป! ไอ้เวร ไอ้ปีศาจ!’
หลิวไต้เฟินได้ยินแบบนั้นก็ตะลึงค้างกับที่ จากนั้นมองหลี่เฮ่าเผิง เม้มปากพยักหน้า กล่าวด้วยเสียงสั่นๆ “ข้าวอยู่ในหม้อ ตักมากินข้าวสิ”
หลี่เฮ่าเผิงเดินเข้าไปในครัว เปิดฝาหม้อ ในนั้นมีผัดผักสดกับข้าวหนึ่งชาม เขามองอาหารพวกนี้ก่อนนึกถึงผักดองในชามหลิวไต้เฟิน ส่วนลึกในใจหลี่เฮ่าเผิงตะลึงงัน ในหม้อมีกับข้าว แต่ว่า…
“แม่ ทำไมไม่กินกับข้าวล่ะ?” หลี่เฮ่าเผิงหันไปถาม เห็นหลิวไต้เฟินบ่าสั่นนิดๆ กำลังเช็ดอะไรบางอย่างพอดี
หลิวไต้เฟินหันมายิ้ม “ตอนเช้าจะกินของมันเยอะไม่ได้น่ะ กินผักดองเป็นกับนี่แหละ ลูกรีบกินข้าวเถอะ อย่าสนใจแม่เลย”
พูดจบหลิวไต้เฟินนั่งลงบนม้านั่ง กินข้าวไปคำใหญ่ หลี่เฮ่าเผิงเห็นแบบนั้นยิ่งเจ็บปวดในใจ เขาอยากร้องไห้ น่าเสียดายที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ร้องไห้ไม่ได้ แต่พอนึกขึ้นว่าอีกเดี๋ยวต้องไปกวาดถนน ถ้าเพื่อนหรือคนรู้จักเห็นเข้าจากนี้เขาจะมีหน้าไปเรียนหนังสือได้อย่างไร?
คิดได้ดังนั้นหลี่เฮ่าเผิงเกิดอาการชาในใจ ร้องไม่หยุด ‘หลวงจีนบ้า ฉันรู้นะว่าเป็นนาย! ปล่อยฉันไปไม่ได้เหรอ? ก็แค่เงินไม่กี่หมื่นหยวนเอง? เดี๋ยวฉันจะคืนให้ตกลงไหม?!’
แต่ไม่ว่าจะตะโกนยังไงฟางเจิ้งก็ไม่ตอบเลย สิ่งที่ทำให้หลี่เฮ่าเผิงรับไม่ได้ยิ่งกว่านั้นคือร่างกายเขาเริ่มกินข้าว แต่ไม่กินกับ! กินแต่ข้าวขาวกับด้วยผักดองนิดหน่อย เขาสัมผัสรสชาตินั้นได้อย่างชัดเจน แถมยังรู้สึกมากกว่าเดิมอีก!
‘หลวงจีนบ้า นายจะทำอะไร? นี่มันของคนกินรึไง? กินยากชะมัด ฉันจะกินกับข้าว! ถึงผักสดจะไม่อร่อย แต่ก็อร่อยกว่าผักดองกับข้าวแห้งๆ’ หลี่เฮ่าเผิงตะโกนต่อ
ทว่าฟางเจิ้งก็ยังไม่ตอบกลับ ควบคุมร่างหลี่เฮ่าเผิงกินข้าวทั้งหมด
กินข้าวเสร็จ ฟางเจิ้งเอ่ยในความคิดหลี่เฮ่าเผิงเป็นครั้งแรก “ประสกบอกว่านี่ไม่ใช่ของคนกินหรือ? แต่แม่ประสกกินของพวกนี้ทุกวันเลย ประสกว่าผักสดไม่อร่อย? แต่แม่ประสกเก็บไว้ให้ประสกกิน ประสกมันเด็กเนรคุณ ตั้งแต่วันนี้ไปประสกต้องกินผักดองกับข้าวให้หมด ขืนโวยวายอีก ถ้าข้าวหมดแล้วก็กินแต่ผักดอง!”
ได้ยินคำพูดข้างหน้าของฟางเจิ้ง หลี่เฮ่าเผิงยังร้องโวยเสียงดัง แต่พอโดนข่มขู่ในประโยคหลัง เขาตกใจจนปิดปากเงียบไป กินแค่ข้าวเปล่าให้หมดยังอยู่ได้ แต่ให้กินผักดองจนหมด นี่จะฆ่ากันชัดๆ!
หลิวไต้เฟินกินข้าวเร็วมาก กินสองสามคำก็หมดแล้ว ก่อนเก็บชามตะเกียบ แต่เห็นว่าผักสดไม่ขยับเลย จึงพูดด้วยน้ำเสียงต่อว่านิดๆ “ทำไมลูกไม่กินกับข้าวล่ะ?”
ฟางเจิ้งที่ควบคุมร่างหลี่เฮ่าเผิงตอบ “แม่ไม่กิน ผมก็ไม่กิน กินผักดองบ้างก็สบายดีเหมือนกัน”
“เด็กโง่นี่ ลูกอยู่ในวัยกำลังโตนะ!” หลิวไต้เฟินต่อว่า
แต่ภายใต้การควบคุมของฟางเจิ้ง หลี่เฮ่าเผิงจะกินได้ยังไง เขาปฏิเสธ หลิวไต้เฟินก็จนปัญญา ได้แต่ยอมแพ้แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แม่จะไปทำงานนะ ลูกนอนอีกหน่อยเถอะ พักผ่อนซะ จะได้เรียนสบายๆ”
หลี่เฮ่าเผิงพูดเสียงดังในใจทันที ‘หลวงจีนบ้า แม่ฉันบอกแล้วว่าให้ไปนอน ไอ้เวร รีบให้ฉันกลับไปนอนเดี๋ยวนี้! ฉันไม่ไปกวาดถนน!’
ทว่าร่างหลี่เฮ่าเผิงกลับเอ่ยไปในฉับพลัน “ผมก็จะไปด้วย”
“จะไปไหน? เพิ่งต้นใบไม้ผลิอากาศหนาวจะตาย อยู่บ้านดีๆ เถอะ” หลิวไต้เฟินตอบ
แต่ภายใต้การควบคุมของฟางเจิ้ง หลี่เฮ่าเผิงก็ยังจะดื้นรั้นจะไป เดินตามไปตลอดทาง หลิวไต้เฟินก็จนปัญญา เห็นจะได้เวลาเข้างานแล้วจะไปสายไม่ได้ เลยได้แต่ปล่อยหลี่เฮ่าเผิง คิดในใจว่า ‘เดี๋ยวออกไปหนาวก็คงกลับไปเอง’
ออกประตูบ้านมา ลมหนาวฤดูใบไม้ผลิพัดเข้าไปในคอเสื้อ หลี่เฮ่าเผิงตัวสั่นไปทั้งตัว ก่อนร้องโวยเสียงดังในใจ ‘หนาวมาก อากาศหนาวแบบนี้จะออกไปทำอะไรวะ? ฉันจะกลับบ้าน! ไอ้เวร ปล่อยร่างฉัน ให้ฉันกลับบ้าน!’
‘ก่อนดวงตะวันขึ้น นี่คือช่วงที่หนาวที่สุดของวัน แต่แม่ประสกฝ่าความหนาวแบบนี้ออกไปกวาดถนนหาเงินทุกวัน ส่งประสกเรียนหนังสือ กินข้าวซื้อเสื้อผ้า อาตมาเคยบอกแล้วนะว่านับจากวันนี้ไป ประสกต้องตามแม่ไปกวาดถนนทุกวัน ประสกไม่ยอมได้ ร้องโวยวายหนึ่งครั้งเท่ากับเพิ่มหนึ่งวัน! ร้องสองครั้งเพิ่มสองวัน! ถ้าโวยวายจนอาตมาไม่พอใจ อาตมาจะให้ประสกกระโดดลงแม่น้ำดอกสน อาบน้ำเย็นจะได้ใจเย็นๆ’ เสียงฟางเจิ้งดังขึ้น
หลี่เฮ่าเผิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนตัวสั่น กระโดดลงแม่น้ำดอกสนในอากาศหนาวแบบนี้? คงจะไม่ได้ใจเย็น แต่ได้แช่แข็ง! เขาจึงไม่กล้าร้องโวยวายอีก แต่ก็ยังพูดต่อ ‘ฉันจะฟ้องแม่ฉัน’
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ถึงยังไงก็ยังเป็นเด็ก พอเจอปัญหาก็ต้องไปหามารดา
หลี่เฮ่าเผิงรู้สึกถึงลมหนาวข้างนอก รู้สึกว่าจมูกใกล้จะแข็งแล้ว ก่อนมองไปยังมารดาที่โดนลมหนาวจนตัวสั่นเช่นกัน ทว่าเธอกลับไม่สนใจตัวเอง แต่หันกลับมาช่วยเขากระชับคอเสื้อก่อน วินาทีนั้น หลี่เฮ่าเผิงรู้สึกว่าบางสิ่งในใจถูกสัมผัส มันเจ็บปวดนิดๆ
ระหว่างทางสองคนไม่ได้คุยกัน หลี่เฮ่าเผิงตามมารดาไปเอาอุปกรณ์เช่นรถกวาดถนนกับไม้กวาดเป็นต้นมาบนถนน หลิวไต้เฟินกวาดพื้น หลี่เฮ่าเผิงมองดูอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง หลี่เฮ่าเผิงก็หยิบไม้กวาดที่เตรียมมากวาดพื้นตาม ไม้กวาดทำมาจากไผ่ ในหน้าหนาวไผ่จะโดนอากาศทั้งคืน ถือไว้จะหนาวยิ่ง กวาดไปสองสามครั้งจะไม่รู้สึกที่นิ้วมือแล้ว เมื่อเกิดหมอกยามเช้า ทั้งถนนจะขมุกขมัว แต่ดวงตาหลี่เฮ่าเผิงไม่เคยออกจากหลิวไต้เฟินเลย…
ส่วนหลี่เฮ่าเผิงร้องหนาว ร้องเหนื่อย ร้องลำบาก ร้องอยากกลับบ้านไม่หยุด…น่าเสียดายฟางเจิ้งไม่สนใจเขาเลย
วันแรกผ่านไปแบบนี้ เข้าสู่กลางคืน
“พรุ่งนี้ไปอีก” เสียงฟางเจิ้งพลันดังในความคิดหลี่เฮ่าเผิง
หลี่เฮ่าเผิงพูดอย่างโมโห “ไม่ ฉันไม่อยากไปกวาดถนนแล้ว! นั่นไม่ใช่งานที่คนเขาทำกัน!”
แต่ฟางเจิ้งไม่ตอบเขา
หลี่เฮ่าเผิงอยากจะไปฟ้องหลิวไต้เฟิน แต่พบว่าขยับตัวไม่ได้ ด้วยความสิ้นหวังจึงได้แต่นอนหลับ
วันที่สองตอนเช้า หลี่เฮ่าเผิงร้องว่าไม่ไปไม่หยุดในใจ! ไม่ไปแล้ว!
ทว่าร่างกายยังคงตามไป
วันนี้มีฝนตกของฤดูใบไม้ผลิเบาๆ อากาศหนาวยิ่งกว่าเดิม หนาวจนเข้ากระดูก เมื่อหลี่เฮ่าเผิงไปโรงเรียน เข้าเรียนวิชาแรกก็ยังตัวสั่น ทว่าพอมองฝนข้างนอกที่ยังคงตกแล้ว เขานึกถึงมารดา มารดาเขายังทำงานอยู่ข้างนอกนั่น