The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 257 ร้อนใจจนบ้าแล้ว
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 257 ร้อนใจจนบ้าแล้ว
ดังนั้นแล้ว หลังฤดูใบไม้ผลิ ทั้งหมู่บ้านเอกดรรชนีจะยุ่งเป็นพิเศษ งานของแต่ละครอบครัวยังหนักหนาไม่พออีกหรือ ฟางเจิ้งจะหน้าด้านให้เขาเอาจอบมาให้ได้อย่างไร
ทว่าฤดูกาลนี้กลับเป็นฤดูที่เด็กๆ ชอบมากที่สุด ออกไปวิ่งช่วงที่สายลมกับดวงตะวันสวยงาม วิ่งจนเหนื่อยแล้วก็แวบไปสูบน้ำที่เครื่องสูบข้างไร่นา ดื่มน้ำบาดาลที่หอมหวานไม่มีสิ่งปนเปื้อนไปอึกหนึ่ง ฟินไปถึงหัวใจ…ที่สำคัญเลยคือทุกคนต่างยุ่งกับงาน ไม่มีเวลาสนใจพวกเขา แน่นอนว่าต้องเหมือนพวกเกเร
ดังนั้นพวกผู้ปกครองจึงจนปัญญาเหมือนกัน ช่วงที่เด็กมากมายยังไม่ได้เข้าเรียนอนุบาล แถมพวกเขายังทำใจจ่ายเงินให้กับสถานรับฝากเลี้ยงเด็กไม่ได้อีก จึงได้แต่ปล่อยพวกเขาวิ่งเล่นกันไป
หมาป่าเดียวดายกับลิงลงเขามาก็ถูกเด็กกลุ่มหนึ่งล้อม ทว่าเจ้าสองตัวนี้เข้าใจนิสัยพวกเด็กตรงตีนเขาแล้วจึงไม่ได้คิดอะไร ก่อนไปบ้านซ่งเอ้อโก่ว ลิงแบกจอบ หมาป่าเดียวดายเดินตาม รีบขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าตอนผ่านหน้าหมู่บ้าน ลิงหันไปมองเห็นผู้หญิงสองคนกำลังนั่งยองคุยกับเด็กน้อยคนหนึ่ง พูดไปยิ้มไป ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร ทว่าลิงไม่ได้ใส่ใจ ตามหมาป่าเดียวดายขึ้นเขาไป ช่วงที่ผ่านกลุ่มคนงาน พวกหลิ่วเทามองลิงแบกจอบกับหมาป่าเดียวดายด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครมีเวลาสนใจพวกมัน ถึงยังไงพวกเขาก็ยุ่งกันมาก!
ฟางเจิ้งอาศัยเวลาว่างตรงนี้ทำความสะอาดอุโบสถหนึ่งรอบ วัดสะอาดขึ้นแล้ว
เห็นจอบมาแล้วจึงตรงไปหิ้วจอบในทันใด ให้หมาป่าเดียวดายคาบตะกร้าไว้ คน กระรอก หมาป่าและลิงปรี่ไปยังต้นไผ่ที่เพิ่งเติบโตข้างหลัง!
ฟางเจิ้งหมุนแขนก่อนฟันจอบไปยังหน่อไม้ที่เพิ่งโผล่มาจากดิน เขาช่างมีพลังเสียนี่กระไร ขุดไปทีเดียวหัวจอบเข้าไปใต้ดิน ออกแรงงัดเกิดเสียงดังผุ หน่อไม้หุ้มเปลือกสีม่วงถูกงัดออกมา ฟางเจิ้งรีบโยนจอบทิ้งแล้วหยิบหน่อไม้เล็กขนาดเท่าแขนคนขึ้นมา ดึงปลอกนอกออก ในนั้นเป็นเนื้อหน่อไม้สีม่วงอ่อน มองผ่านแสงตะวันเป็นสีเขียวแพรวพราว ช่วงยามเย็นจะโปร่งใสเล็กน้อย จากนั้นหักมาชิ้นหนึ่งง่ายๆ ใส่ปาก มันกรอบ อร่อย มีกลิ่นหอมเฉพาะของไผ่ รสชาติดีสุดๆ!
“อึก!” ฟางเจิ้งกำลังฟินพลันมีเสียงกลืนน้ำลายดังมาจากด้านข้างหลายเสียง กระรอกที่ยืนบนบ่าฟางเจิ้งดึงหูเขาไว้ ยื่นหน้าเข้าไปด้วยท่าทางอยากรู้อยากลอง มองหน่อไม้ในมือฟางเจิ้ง ก่อนมองเขาแล้วกลืนน้ำลายตาม
ฟางเจิ้งเห็นความตะกละของเจ้าตัวน้อยแล้วพลันหัวเราะ หักชิ้นเล็กๆ ใส่มือกระรอก จากนั้นหักด้านล่างอีกสามส่วน ลิงส่วนหนึ่ง หมาป่าเดียวดายส่วนหนึ่ง เขาส่วนหนึ่ง ดังนั้นเจ้าสี่ตัวนี้เลยนั่งลงกับพื้น เริ่มกินกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าสี่ตัวนี้กินไผ่ กลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะทำให้พวกเขาหลงใหล หน่อไม้ใหญ่ถูกกินอย่างมูมมามจนหมด สุดท้ายมองตากันพบว่ายังไม่หนำใจ!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ฟันจอบขุดหน่อไม้ต่อ!
กินไปหน่อหนึ่งแล้วยังไม่ได้ว้าวอะไรขนาดนั้น ถึงจะตะกละอยู่บ้างเขาก็ยังอดทนไหว เมื่อฟันจอบลงไป หน่อไม้ถูกขุดขึ้นมาทีละหน่อ ลิงเดินตามหลังคอยเก็บหน่อไม้โยนใส่ตะกร้าที่หมาป่าเดียวดายคาบ กระรอกวิ่งอยู่ข้างหน้า มีหน่อไม้ขนาดเหมาะสมที่ไหนจะรีบโบกมือเรียกฟางเจิ้ง
เจ้าสี่ตัวนี้ร่วมมือกันตลอดทาง ประกอบกับไผ่หนาวเพิ่งเติบโต หน่อไม้จึงขึ้นเต็มไปหมด ใช้เวลาไปสิบกว่านาทีก็ได้ตะกร้าใหญ่ หมาป่าเดียวดายมีร่างกายสูงใหญ่ คาบตะกร้าใหญ่ก็ยังกินแรงอยู่นิดๆ แต่พอนึกถึงของกินในนั้นพลังมันพุ่งพรวดขึ้น
นำหน่อไม้หนึ่งกองกลับวัดเอกดรรชนี วางไว้ในครัว ฟางเจิ้งเตรียมทำอาหาร แต่เพิ่งเปิดฝาหม้อก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากนอกประตู
ตามด้วยได้ยินเสียงคนเรียก “ฟางเจิ้ง อยู่ไหม? ฟางเจิ้ง ท่านอยู่ไหม?”
ฟางเจิ้งรีบวิ่งออกไปดู คนที่มาคือซุนเฉียนเฉิง
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว ซุนเฉียนเฉิงไม่ดูไร่นาอยู่บ้าน แต่ขึ้นเขามาทำอะไร? พอมองดีๆ ซุนเฉียนเฉิงหน้าแดงก่ำ หอบหายใจแรง ดวงตาแดงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าร้อนใจมาก
“ประสกซุน มีอะไรหรือ?” ฟางเจิ้งถาม
ซุนเฉียนเฉิงกลับไม่มองฟางเจิ้ง แต่มองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาบางอย่าง ดูร้อนใจมาก! ซุนเฉียนเฉิงกล่าว “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านเห็นเหมิงเหมิงไหมครับ?”
“เหมิงเหมิง? เหมิงเหมิงไม่ได้มานี่?” ครู่เดียวฟางเจิ้งก็นึกออก นั่นคือเด็กหญิงน้อยน่ารักที่ทั้งตัวมีแต่ประทัดในวันสาดไฟบนถนนช่วงวันแรมสิบห้าค่ำ ขณะเดียวกันในใจเต้นตึกๆ คงไม่เกิดเรื่องหรอกนะ? ฟางเจิ้งเปิดเนตรสวรรค์มองซุนเฉียนเฉิง แต่กลับไม่เห็นอะไร เปิดเนตรปัญญาตรวจดู แต่มีควันเคราะห์ร้ายลอยขึ้นฟ้า เห็นได้ชัดว่าดวงซวย ซวยมาก! ฟางเจิ้งคิดในใจ ‘เนตรสวรรค์มองไม่ออก ภัยร้ายไม่ได้เกิดกับตัวเขา เนตรปัญญามองเห็นเคราะห์ร้าย เกรงว่าจะเกิดเรื่องกับคนข้างกายเขา!’ คิดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งร้อนใจเหมือนกัน เหมิงเหมิงเด็กคนนั้นน่ารักมาก เขาไม่หวังให้เธอเป็นอะไร
“เหมิงเหมิงไม่ได้มาเหรอ?” ซุนเฉียนเฉิงได้ยินฟางเจิ้งว่าแบบนั้นก็ถามอย่างไม่ตายใจ ในแววตาเต็มไปด้วยความหดหู่ ขณะเดีววกันมีการขอพรอยู่นิดๆ เหมือนกำลังขอพรให้ฟางเจิ้งบอกเขาทีว่าเหมิงเหมิงอยู่ในวัด
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “เหมิงเหมิงไม่ได้มาจริงๆ แต่ว่าประสกซุนอย่าใจร้อน เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? บางทีอาตมาอาจจะช่วยได้”
ทว่าซุนเฉียนเฉิงกลับไม่พูดอะไร แต่หมุนตัวกลับแล้ววิ่งลงเขาไป
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังซุนเฉียนเฉิง เขาไม่โกรธ เพราะมันชัดเจนมากกว่าซุนเฉียนเฉิงร้อนใจจะเป็นบ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่วิ่งหน้าแดงขึ้นเขามาถามเขา โทรถามก็ได้แล้วไหม พอนึกขึ้นได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องกับเหมิงเหมิง ฟางเจิ้งจึงต่อสายหาหวังโอ้วกุ้ยทันที
แต่ว่า…
“อะไรนะ? เกิดเรื่องกับเหมิงเหมิง?” หวังโอ้วกุ้ยได้ยินฟางเจิ้งเล่าจึงร้องเสียงสูง
ฟางเจิ้งถาม “โยมไม่รู้เหรอ?”
“ฉะ…ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า? ฉันดูปั๊มน้ำอยู่! เดี๋ยวจะกลับหมู่บ้านไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น” หวังโอ้วกุ้ยพูดจบก็วางสาย ขึ้นรถจักรยานยนต์ดิ่งไปยังหมู่บ้าน
ฟางเจิ้งเห็นหวังโอ้วกุ้ยไม่รู้เรื่องจึงร้อนใจเหมือนกัน จะลงเขาไปช่วยหาคน แต่หมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอกตามมาด้วย
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว “อาตมาจะลงเขาไปช่วยคน พวกนายเฝ้าบนเขาไว้ อย่าวิ่งเพ่นพ่าน”
“เจ้าอาวาส เมื่อกี้เราได้ยินที่ท่านพูดแล้วนะ ตอนแรกโยมน้อยนั่นให้ประทัดพวกเราสั่งสอนเด็กเกเรพวกนั้น ตอนนี้โยมน้อยลำบาก พวกเราไม่ช่วยไม่ได้” กระรอกยืนบนหัวหมาป่าเดียวดาย โบกกรงเล็บไปมาพลางว่า
หมาป่าเดียวดายพยักหน้าตาม แต่พอพยักหน้า กระรอกตกลงมาจากหัวใหญ่ของมัน ดูไม่มีพลังอะไรเลย