The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 263 ฆ่าก็คือไม่ฆ่า
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 263 ฆ่าก็คือไม่ฆ่า
หวังเจี่ยกับผู้หญิงไฝดำมองตากันแวบหนึ่ง รู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ แต่พอนึกย้อนดีๆ กลับไม่มี สองคนกลับมาถึงเมืองชุนอย่างราบรื่น ครู่เดียวก็มีคนมารับเด็กไป ที่เหลือไม่เกี่ยวกับพวกเธอแล้ว รอรับเงินเท่านั้น ยิ่งคิดยิ่งพบว่าความทรงจำเมื่อครู่เลือนราง ความทรงจำตอนนี้ต่างหากที่ของจริง
หวังเจี่ยมองเวลา ขมวดคิ้วว่า “ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มา? ไม่มารับสินค้ารึไง?”
ฟางเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นถึงรู้ว่าคนเหล่านี้นัดเวลาส่งมอบเร็วกว่าที่เขาคิด ดังนั้นจึงส่งคนรับของมาทันที
สิ้นเสียงก็มีคนเคาะประตู ฟางเจิ้งเงยหน้ามองบานประตู เขาก็อยากรู้ว่าคนรับของในใจหวังเจี่ยคือคนแบบไหนกันแน่!
หวังเจี่ยเดินไปที่ประตู กระซิบถาม ในความคิดย่อมปรากฏคำตอบที่คาดหวัง ฟางเจิ้งดึงออกมา ให้คนข้างนอกพูด
หวังเจี่ยถอนหายใจโล่งอก เปิดประตูออก ในที่สุดฟางเจิ้งก็เห็นหน้าตาคนที่มาอย่างชัดเจน นั่นคือผู้หญิงวัยรุ่นสวมชุดทันสมัย ถ้าเดินบนถนนจะเป็นผู้หญิงสาวสวย เพียงแต่ฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าผู้หญิงแบบนี้จะทำเรื่องระยำแบบนี้!
“อู๋ คุณมาสักทีนะ ของอยู่นั่น อะ…เอาไป…ทำไมฉันรู้สึกเวียนหัว…” หวังเจี่ยกำลังพูดพลันกุมหัวหมุนอยู่กับที่ ก่อนตาเหลือกล้มลงกับพื้น
ขณะเดียวกันความฝันแตกเป็นเสี่ยงๆ ฟางเจิ้งมองหวังเจี่ยที่เสียชีวิตเพราะเลือดหมดตัว และยังมีผู้หญิงไฝดำที่สิ้นใจไปก่อนแล้วพลางส่ายหน้าเบาๆ ประนมสองมือสวดเงียบๆ “อมิตาพุทธ ฆ่าก็คือไม่ฆ่า ไม่ฆ่าก็คือฆ่า สุดท้ายหมื่นความชั่วต้องรับกรรม ไม่ใช่ไม่ได้รับ แค่ยังไม่ถึงเวลา”
ฟางเจิ้งพูดจบก็อุ้มเหมิงเหมิงไว้ในอ้อมกอดแล้วตบหัวหมาป่าเดียวดาย “ไปเถอะ”
ครั้งนี้ฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดายไม่ได้กลับทางเดิม แต่เดินออกจากทุ่งนาตรงไปยังภูเขาเอกดรรชนี
ฟางเจิ้งเพิ่งเดินไปก็มีรถกระบะคันหนึ่งแล่นผ่านมา
เจียงเยี่ยขับรถช้าด้วยความเศร้า ข้างหลังมีรถตำรวจตามมาคันหนึ่ง ยิ่งคิดยิ่งไม่สบอารมณ์ ยิ่งคิดยิ่งโกรธ ถ้าไม่ใช่เพราะหมาตัวใหญ่สีขาวสมควรตายกับหลวงจีนนั่นเขาจะเป็นแบบนี้หรือ? เขาจะขับรถเร็วหรือ? เขาจะถูกจับไหม? จะถูกยึดใบขับขี่และยังต้องเสี่ยงโดนเพิกถอนใบขับขี่หรือไม่!
แต่รถตำรวจแซงหน้ารถเขาไปจอด ก่อนวิ่งลงไปดูสถานการณ์
เจี่ยงเยี่ยเห็นแบบนั้นก็วิ่งลงไปถาม “เป็นยังไงบ้างครับ?”
ตำรวจตรวจสภาพของสองคน ตามด้วยส่ายหน้า “ตายแล้ว ดูจากสถานการณ์ รถจักรยานยนต์เหิน ความเร็วไม่ช้ากว่าคุณตอนแรกเท่าไรเลย ไม่อย่างนั้นรถจักรยานยนต์ไม่ชนจนมีสภาพแบบนี้หรอก”
เจียงเยี่ยได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนเหงื่อแตก เมื่อครู่ยังโกรธที่ถูกตำรวจจับ ตอนนี้มองสองคนตรงหน้าพลันไม่เหลือความโกรธใดๆ แอบคิดว่าโชคดีที่ตนลดความเร็วลง ไม่อย่างนั้นถ้าเขา…แค่คิดเจียงเยี่ยก็ขนลุกไปทั้งตัว แอบตะโกนดีใจภายในใจ
ตำรวจบันทึกสภาพการณ์ไว้ ทั้งยังเริ่มรายงาน ส่งรูปถ่ายไป…
ขณะเดียวกันหมู่บ้านภูเขาถง บ้านสกุลลวี่เหลียง
“หน้าตาแบบนี้เหรอ?” ลวี่ฮุยหยิบภาพสเก็ตช์ที่วาดโครงร่างอย่างรวดเร็วให้ลวี่เหลียงดู
ลวี่เหลียงปรบมือ เอ่ยขึ้น “เฮ้ย! เหมือนมาก! หน้าตาแบบนี้เลยครับ แต่หน้าผอมไปหน่อย”
ลวี่ฮุยพยักหน้า แก้เสร็จแล้วหยิบมาใหม่ “เป็นยังไง?”
“ไม่ผิด สองคนนี้แหละ! พ่อ ครั้งนี้ผมยอมพ่อจริงๆ ผมจะเอาไปนะ” ลวี่เหลียงพูดพลางหยิบภาพสเก็ตช์วิ่งไป
ลวี่ฮุยด่ายิ้มๆ ข้างหลัง “ไอ้ลูกคนนี้ ครั้งหน้าไปหาคอมเน่าๆ ของแกเลย! อย่ามาหาฉัน!”
“คอมไม่ไหวหรอก ต้องพึ่งพ่อนี่แหละ ฮ่าๆ…” ลวี่เหลียงหัวเราะเสียงดัง
ในที่สุดลวี่ฮุยก็ยิ้มปลื้มใจ วาดภาพสเก็ตช์มาทั้งชีวิต เคยมีคนนับถือ เคยโดนคนดูถูก เขาไม่สนใจ แต่ลูกชายตนกลับไม่สนใจงานของเขามันทำให้เขาทุกข์ใจมาก! ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่ใช้ศักยภาพของตนสยบลูกชาย ความรู้สึกนี้ดีจริงๆ…
ลวี่เหลียงกลับไปสถานีตำรวจ ส่งภาพสเก็ตช์สองภาพนี้ไป เห็นเพื่อนร่วมงานเดินออกมาตบบ่าเขา “ถ้านายมองไม่ผิด สองคนนี้น่าจะตายแล้ว เมื่อกี้เกิดอุบัติเหตุ สองคนนี่ตายแล้ว แต่ไม่มีเด็กคนนั้นที่นายว่านะ…”
ลวี่เหลียงงุนงง จะเป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าที่เขาเห็นก่อนหน้านี้จะเป็นภาพหลอนจริงๆ?
ยามนี้เองหวังโอ้วกุ้ยมา พอเข้ามาก็ตะโกน “ลวี่เหลียง หาเจอแล้ว! เหมิงเหมิงบอกว่าผู้หญิงสองคนนี่ส่งลูกอมให้เธอ พอกินแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย”
“ผู้หญิงสองคน? หน้าตาอย่างนี้รึเปล่า?” ลวี่เหลียงหยิบภาพสเก็ตช์ออกมา
“คุณถามผมผมจะไปถามใครล่ะ? ผมไม่เคยเห็น…” หวังโอ้วกุ้ยยิ้มแห้งๆ
“ไป กลับหมู่บ้านเอกดรรชนี!” ลวี่เหลียงวิ่งไปข้างนอก เขาอยากรู้มากว่าคนในภาพสเก็ตช์นี่จะใช้คนขายเด็กสองคนนั่นหรือไม่! ถ้าใช่ เขาก็ไม่ได้หลอน แต่พระพุทธองค์แสดงอิทธิฤทธิ์จริงๆ! ถ้าไม่ใช่…ก็ถือว่าเป็นภาพหลอน
หวังโอ้วกุ้ยเห็นดังนั้นจึงวิ่งตามไปด้วยความจำใจ สองคนต่างขี่รถจักรยานยนต์รีบกลับหมู่บ้านเอกดรรชนี
ตอนที่ลวี่เหลียงนำภาพสเก็ตช์ส่งให้ซุนเหมิงเหมิงดู ซุนเหมิงเหมิงตกใจจนเข้าไปหลบหลังซุนเฉียนเฉิง ก่อนร้องไห้เสียงดัง “พ่อ หนูกลัว…ใช่พวกเขา ฮือๆ…เหมิงเหมิงไม่อยากได้ของพวกเขา ฮือๆ…”
ซุนเฉียนเฉิงเข้าไปกอดซุนเหมิงเหมิงขึ้นมาหยอกล้อ “เหมิงเหมิงเด็กดี ไม่เป็นไรนะ นี่คือภาพ ไม่ใช่คน”
ลวี่เหลียงได้ฟังดังนั้นประหนึ่งโดนฟ้าผ่า ของจริง! ถึงก่อนหน้านี้เขาจะทำอะไรไว้มาก แต่ก็ทำด้วยความคิดที่ไร้ความหวังมาตลอด ไม่นึกเลยว่าความฝันนั่นจะเป็นของจริง…นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ทว่าลวี่เหลียงก็ยังตั้งสติกลับมา ถาม “เหมิงเหมิงกลับมาได้ยังไงครับ? สองคนนั่นเกิดอุบัติเหตุบนถนนตายไปแล้ว เด็กคนนี้เหมือนจะไม่บาดเจ็บด้วย…” ลวี่เหลียงมองซุนเหมิงเหมิงกับซุนเฉียนเฉิงด้วยความสงสัย
ซุนเฉียนเฉิงส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอวิ่งออกมาจากในห้อง พวกเพื่อนบ้านเห็นเลยบอกผม ไม่อย่างนั้นผมคงออกไปตามหานอกหมู่บ้านนานแล้ว” พูดถึงตรงนี้ในใจซุนเฉียนเฉิงนึกหวาดกลัว ถ้าเกิดอะไรกับลูกสาวน่ารักแบบนี้จริงๆ เขาคงตรอมใจ วินาทีที่เหมิงเหมิงหายไป เขาเหมือนเสียจิตวิญญาณ ในความคิดนอกจากหาลูกแล้วไม่มีอะไรเลย
“เป็นอย่างนั้นไป…” ลวี่เหลียงมองไปรอบๆ