The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 268 คนที่ช่วยไม่ได้ (1)
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 268 คนที่ช่วยไม่ได้ (1)
นัยน์ตากวนผิงฉายแววผิดหวัง
“คุณกวน เถ้าแก่ให้ผมมารับครับ พวกเราจองงานเลี้ยงที่ดีที่สุดของโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองเฮยซานแล้วครับ” ผู้ชายเปิดประตูให้กวนผิงแล้วเอ่ยด้วยความนอบน้อม
กวนผิงอยากปฏิเสธมาก แต่มองรถหรูกับเฮลิคอปเตอร์แล้ว สุดท้ายกัดฟันพยักหน้าตอบตกลง
นี่เป็นครั้งแรกที่กวนผิงรับคำเชิญงานเลี้ยงจากเถ้าแก่จาง และเป็นครั้งแรกที่เข้าใจว่าอะไรคือลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อ อะไรเรียกว่าทีแรกหงิมๆ แต่พอแสดงตนกลับยิ่งใหญ่! เธอเห็นใบหน้าคุ้นตาเล็กน้อย ตอนที่เธอขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์ ทุกคนต่างอิจฉา! เธอพบว่าแม้เธอจะบอกอยู่ในใจมาตลอดว่าตนอยากมีชีวิตใสสะอาด ทว่าเธอชอบความรู้สึกนี้จริงๆ! รู้สึกราวกับราชินี…
ยุ่งอยู่ช่วงเช้า ฟางเจิ้งเติมน้ำเต็มตาข้าว ข้าวผลึกโตจนขนาดเท่านิ้วมือแล้ว ต้นกล้าหนา มองปราดเดียวเป็นพวกไม่กลัวลมฝน เห็นดังนั้นเขามีความสุขในใจ ถ้าเก็บเกี่ยวจะต้องได้กินทุกวันจนขยับไม่ได้แน่ และก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว
คิดได้ดังนั้นจึงฮัมเพลงกลับวัดเอกดรรชนี
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน สิ่งที่ฟางเจิ้งกังวลคือสามสี่วันนี้เป็นวันฟ้าใสติดต่อกัน! ดวงตะวันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิสูงขึ้น
ตอนเที่ยงของวันนี้ ฟางเจิ้งเพิ่งกินข้าวเสร็จ นั่งอยู่ในอุโบสถเตรียมสวดมนต์ แต่มีร่างเงาคุ้นเคยเดินเข้ามาในอุโบสถ มองเขาพลางว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฉันมาอีกแล้ว”
ฟางเจิ้งมองผู้หญิงตรงหน้า มองแวบแรกยังจำไม่ได้ พอมองดีๆ นั่นคือกวนผิงที่มาเมื่อหลายวันก่อน เพียงแต่วันนี้กวนผิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้งก่อนเรียกได้ว่าเหมาะสม ครั้งนี้แต่งตัวสวย! ต่อให้ฟางเจิ้งไม่เข้าใจเสื้อผ้า แต่ก็มองออกว่าเสื้อผ้าตัวนี้ถักขึ้นทีละเข็ม ทุกรอยจีบมีความประณีตหลายส่วน พอๆ กับเสื้อผ้าของหลี่เสวี่ยอิง เห็นได้ว่าไม่ใช่ของถูก
พอเห็นแววตาต่างไปจากเดิมของฟางเจิ้ง นัยน์ตากวนผิงมีความเจ็บปวดวูบผ่าน พูดเบาๆ ว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ออกไปคุยกันข้างนอกได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า เดินออกจากอุโบสถไปกับกวนผิง มาอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ยังคงเป็นตำแหน่งเดิม ยังคงเป็นสองคน ยังเป็นเป็นเณรฟางเจิ้ง เพียงแต่ผู้หญิงตรงหน้าเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก
“อุบาสิกา ครั้งนี้จะเล่าเรื่องครั้งก่อนที่ยังเล่าให้อาตมาฟังไม่จบหรือ?” ฟางเจิ้งถาม
กวนผิงพยักหน้า “ค่ะ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ตอนนี้ฉันสับสนหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ฟางเจิ้งถามกลับ “ทำไมสีกาถึงสับสน?”
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านว่าคนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่คะ?” กวนผิงถาม
ฟางเจิ้งถามกลับ “แล้วสีกามีชีวิตเพื่ออะไรล่ะ?”
กวนผิงส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนเด็กพ่อแม่บอกฉันว่าคนเรามีชีวิตเพื่อลมหายใจ ฉันเลยตั้งใจเรียนสุดชีวิต พยายามสุดความสามารถ ได้ทุนการเรียนต่างๆ สุดท้ายก็โดดเด่นเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ กลายเป็นนักแสดง” เห็นฟางเจิ้งไม่โต้ตอบ กวนผิงจึงอดไม่ไหวพูดเสริมไปว่า “ที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง”
แต่ฟางเจิ้งยังคงสีหน้าดังเดิม ราวกับความสำเร็จของกวนผิงไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ในใจเขาเกิดคลื่นกระเพื่อมแม้แต่น้อย
กวนผิงขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยต่อ “อย่างหนังเรื่องบันทึกอดีตสมัยเจินกวนก่อนหน้านี้ ฉันก็แสดงเป็นนางรอง”
ทว่าหลวงจีนตรงหน้ายังคงหน้าเรียบนิ่ง ประหนึ่งว่าหญิงคนนี้ไร้ค่า เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าฟางเจิ้งเคยพบดาราดังระดับนานาชาติมาแล้ว แค่ความสำเร็จของดาราหญิงระดับรองในประเทศจะไปสร้างคลื่นกระเพื่อมได้หรือ?
กวนผิงไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดต่อ “ต่อจากนั้นมาวันหนึ่ง มีคนเข้ามาในชีวิตฉัน เขาอายุเยอะ แต่เป็นคนดีมาก ตามจีบฉันไม่ยอมปล่อย เมื่อหลายวันก่อนเขารู้ว่าฉันมาที่นี่เลยส่งคนมารับฉันโดยเฉพาะเลย แถมยังเอาเฮลิคอปเตอร์มารับฉันกลับไปกินข้าวด้วย”
พูดถึงตรงนี้กวนผิงมองฟางเจิ้งแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แต่หลวงจีนตรงหน้ายังคงหน้าเรียบเฉย ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ! กวนผิงอยากถามเขาอยากว่า ‘ท่านรู้จักเฮลิคอปเตอร์ไหม?’ แต่สุดท้ายก็ไมได้ถาม
กวนผิงเล่าต่อ “พอฉันไป นั่นเป็นงานเลี้ยงที่หรูที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต เป็นครั้งแรกที่ฉันมีหน้ามีตาที่สุด นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปงาน ถนนปูด้วยดอกไม้สด แก้วคริสทัล ไวน์แดงปี82 ทุกอย่างมันน่าหลงใหล…” ยิ่งพูดรอยยิ้มกวนผิงยิ่งสว่างไสว
ฟางเจิ้งเห็นถึงตรงนี้ ก็เข้าใจความหมายที่กวนผิงมาที่นี่อยู่เล็กน้อย
ตอนนี้เองกวนผิงยิ้มไปยิ้มมาก็ร้องไห้…ปิดหน้าร้องไห้ ยิ่งร้องยิ่งเสียใจ สุดท้ายร้องไห้โฮ!
ฟางเจิ้งถอนหายใจ ยังคงไม่ตอบ แต่รอเงียบๆ
ร้องไห้อยู่ห้าหกนาทีกวนผิงถึงร้องจนพอ นั่งลง มองฟางเจิ้ง “เจ้าอาวาส ฉันป่วยรึเปล่า? ตอนเด็กโรงเรียนสอนว่าชีวิตที่ลุ่มหลงมัวเมาแบบนี้คือบ่มเพาะขยะ! ฉันเองก็รู้นะว่าที่เขาจีบฉันก็เป็นแค่ความสดใหม่ในช่วงแรก ก่อนหน้านี้เขาเคยจีบดาราสาวมาหลายคน แต่แต่งงานไม่นานก็หย่ากัน เขาแต่งงานกับฉันก็คงไม่ต่างกัน เมื่อก่อนฉันเกลียดและดูถูกคนแบบนี้ที่สุด ก็แค่มาจากครอบครัวคนมีเงินเท่านั้น! แต่ว่า…แต่ว่าฉันชอบความรู้สึกนั้นจริงๆ เพียงแต่ทุกครั้งที่ฉันจะตอบรับเขาจะมีเสียงหนึ่งในใจ ตะโกนบอกฉันว่า ‘แกคือนักโทษ’ ฉันรู้สึกทำผิดจริงๆ เหมือนขายวิญญาณให้ปีศาจไปแล้ว…ฉันกลัว…แต่ก็อยากได้ ฮือๆ…”
ฟางเจิ้งฟังถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ทุกอย่างไม่ต่างจากที่เขาคิด นี่คือผู้หญิงที่น่าสงสารและน่าเศร้า ด้านหนึ่งเป็นความยั่วยวนจากเงินทอง อีกด้านเป็นคุณธรรมรักษาความบริสุทธิ์ของตนไม่ให้ด่างพร้อย เธออยากได้เงินทอง แต่ก็กลัวถูกคุณธรรมประณาม…ทว่ามองจากเสื้อผ้าเธอแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าปากบอกลังเล แต่ร่างกายเลือกเงียบๆ ไปแล้ว
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกา ในเมื่อเลือกแล้ว ไฉนต้องมาหาอาตมาอีก?” ทันทีที่เอ่ย ฟางเจิ้งดูถูกผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย เขาเคยเจอผู้หญิงมาไม่น้อย ฟางอวิ๋นจิ้ง หม่าเจวียน จิ่งเหยียน หลี่เสวี่ยอิงเป็นต้น ผู้หญิงเหล่านี้มีบางคนสวย บางคนไม่สวย แต่พวกเธอใช้ชีวิตอย่างจริงแท้ มีเป้าหมายของตนเอง มีจิตวิญญาณของตนเอง กระทั่งหลี่เฟิ่งเซียนก่อนหน้านี้ แม้จะขายร่างกายเพื่อเงิน แต่เธอทำเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนลึกในใจปรารถนาจะกระโดดออกมา ออกจากเส้นทางของตนเอง
ทว่ากวนผิงตรงหน้ากลับสูญเสียตัวเองไปทั้งหมด ในแววตาเธอไม่มีสิ่งใดแล้ว มีเพียงความโลภและปรารถนา! ถ้าอย่างนั้นเธอจะมาหาฟางเจิ้งทำไม? แก้ปัญหาจริงๆ หรือ?
กวนผิงตะลึงงัน มองเสื้อผ้าตัวเอง ก่อนมองแววตาใสของฟางเจิ้ง นัยน์ตามีความละอายใจวูบผ่าน เอ่ยเบาๆ “ฉะ…ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจช่วงสุดท้าย หลวงพี่ ฉันอยากให้ท่านดึงสติฉัน ให้ฉันกระโดดออกไปจากในนี้ ไม่ว่าจะไปทางด้านไหนก็ได้ ได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งมองกวนผิงยิ้มๆ “ถ้าแค่นั้น อาตมาช่วยได้” เอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าฟางเจิ้งเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “สีกาเพียงแค่มองมืออาตมา!”
ระหว่างพูด ฟางเจิ้งเปิดอภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างเงียบๆ
กวนผิงมองมือฟางเจิ้ง เห็นว่าในมือเขามีดอกบัวสีทองเพิ่มมาดอกหนึ่ง ดอกบัวเบ่งบานช้าๆ ในนั้นมีเม็ดยาสีทองเม็ดหนึ่ง ตัวเม็ดยาเปล่งแสงเจ็ดสีแพรวพราว สวยงามมาก! ไม่ต้องเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นหอมยา ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา!
………………………