The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 282 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 282 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เมื่อได้ฟังว่าเด็กน้อยแอบพูดอย่างนี้ในโทรศัพท์ ผู้หญิงที่นั่งเก้าอี้หมุนอยู่ข้างๆ น้ำตาไหล พยายามหันไปมองนอกหน้าต่าง ปล่อยให้น้ำตารินไหลมาเป็นสาย…เพียงแค่ริมฝีปากสั่น แกะที่รองแขนเก้าอี้หมุน เธออยากร้องไห้ อยากร้องไห้จริงๆ เปล่งเสียงร้องไห้โฮ! แต่ทำไม่ได้…เธอรู้ว่าจะแสดงด้านอ่อนแอต่อหน้าลูกไม่ได้เด็ดขาด กระทั่งแสดงด้านอ่อนแอต่อหน้าสังคมไม่ได้ ถ้าเธออ่อนแอ ยอมแพ้ นอนหมอบลง ก็จะไม่มีความกล้ายืนขึ้นมาอีก
ฟางเจิ้งได้ฟังเด็กน้อยก็รู้สึกเศร้าในใจ ตอนเขายังเด็กก็เคยพูดแบบเดียวกัน ตอนนั้นวัดเอกดรรชนียากจนเกินไป แถมด้วยสาเหตุการเป็นนักบวช ฟางเจิ้งไม่เคยกินเนื้อเลย แต่มีครั้งหนึ่งเขาป่วย ไปอยู่บ้านถานจวี่กั๋ว ถานจวี่กั๋วเคยแอบป้อนเนื้อให้เขา ตอนนี้มาคิดๆ ดูยังจำกลิ่นหอมเนื้อได้ ต่อมาเขาร้องขอหลวงจีนหนึ่งนิ้วว่าอยากกินเนื้อ สรุปคือถูกตีไปยกหนึ่ง แต่หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป เขาเห็นหลวงจีนหนึ่งนิ้วนั่งร้องไห้อยู่หลังวัด…จากนั้นมาเขาก็ไม่เคยร้องขอกินเนื้ออีก
จนถึงตอนนี้ฟางเจิ้งมีระบบคอยดูแลเป็นหลักๆ อีกอย่างที่สำคัญคือเพราะยากจน! ส่วนหลักการเป็นพรวนใหญ่ที่พูดกับเด็กแดงก่อนหน้าก็เพียงแค่จะอุดปากพวกเขาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแต่ละคนได้โวยวายว่าจะกินเนื้อกันแน่ แล้วจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร? ขายตัวเขาก็ยังกินไม่ได้ ส่วนสถานการณ์ทางด้านเด็กคนนั้น อาจจะไม่ต่างกัน
ดังนั้นฟางเจิ้งเลยสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวเบาๆ “ลูกพ่อ ลูกรู้ไหมว่าเนื้อมาจากไหน?”
“ไม่รู้ครับ” เด็กน้อยตอบอย่างจริงจังมาก
ฟางเจิ้งเอ่ยต่อ “ลูกเคยเห็นลูกไก่ ลูกเป็ด ลูกหมาไหม?”
“เคยเห็นครับ น่ารักมาก” เด็กน้อยว่า
ฟางเจิ้ง “เนื้อก็ตัดมาจากตัวพวกมัน ตัดเนื้อออกมา ลูกว่าเจ็บไหม?”
“เจ็บ…” เด็กน้อยตอบ
ฟางเจิ้ง “ใช่ ลูกทนดูพวกมันเจ็บไหวหรือ?”
“ผม…ผม…เป่าเป่าไม่กินเนื้อแล้ว” เด็กน้อยพูด
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ปวดใจ “หรือแม่ให้กินแต่ผักกาดขาวตลอดเลย?”
“ใช่ครับ ทุกวันตอนเช้าแม่จะรีบไปตลาด พาผมไปด้วย คุณอาคุณป้าที่ขายผักหลายคนฉีกผักแล้วโยนลงพื้น กองไว้ให้พวกเราหยิบตามสบาย เป็นคนดีมากเลยครับ” เด็กน้อยพูด
ฟางเจิ้งเงียบอีกครั้ง นี่เรียกคนดีที่ไหน ฟางเจิ้งเคยเห็นพ่อค้าแบบนี้ โดยเฉพาะก่อนเข้าหน้าหนาว ช่วงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเก็บสต๊อกผักกาดขาว พ่อค้าจำนวนมากจะส่งผักกาดขาวมาหนึ่งคันรถ ให้ลูกค้าเลือกซื้อ แต่ลูกค้ามักจะเอาใบผักไม่ดี เหี่ยวเฉาและเน่าเด็ดทิ้งไปกองเป็นกองใหญ่ ผักชนิดนี้ไม่มีคนต้องการ แต่เกรงว่าเด็กน้อยกับมารดาคงจะเก็บผักชนิดนี้ไป!
ฟางเจิ้งรู้ว่าสถานการณ์ของสองคนนี้คงจะแย่มากๆ แต่ไม่มีเงิน พวกเขาจะอยู่โรงพยาบาลได้อย่างไร?
ตอนนี้เองมีเสียงผู้หญิงดังขึ้น “เป่าเป่า รีบนอนเถอะลูก พรุ่งนี้ค่อยคุยกับพ่อนะ แม่ขอคุยกับพ่อหน่อยได้ไหม?”
“ได้ครับ อ๊ะ วันนี้เป่าเป่ามีความสุขมาก เป่าเป่ามีพ่อ ไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ ฮ่าๆ…” เด็กน้อยดีใจมาก ก่อนส่งโทรศัพท์ให้ผู้หญิง
ผู้หญิงไม่ได้พูดกับฟางเจิ้ง แต่วางสายไป ฟางเจิ้งได้ยินเสียงวางสายจึงถอนหายใจ ภายในใจมีหลากหลายรสชาติปะปนกัน เขาคิดมาตลอดว่าชีวิตตนขมขื่นพอแล้ว ตอนนี้มาดูๆ ดีเลวอย่างไรเขาก็ยังมีข้าวผลึก มีน้ำบริสุทธิ์ อาศัยอยู่วัด สวมจีวรขาวจันทร์ หน้าหนาวไม่หนาว หน้าร้อนไม่ร้อน ความยากลำบากในใต้หล้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามากนักจริงๆ
แต่มีบางคนอยู่ในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยโลกิยะตลบอบอวล สัมผัสถึงความทุกข์ยากไม่มีสิ้นสุดไม่ได้รับการแก้ไข…
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงกลับไปในอุโบสถ ครั้งนี้ไม่ได้สวดวัชรสูตร ไม่ใช่สวดธรรมปุณฑรีกสูตร แต่เป็นกษิติครรภ์โพธิสัตว์สูตร หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ ดวงจันทร์ลาลับ ดวงตะวันเยือนฟ้า วันใหม่มาถึงอีกครั้ง
ลิงกวาดพื้น ฟางเจิ้งกวาดอุโบสถ เด็กแดงทำอาหาร กระรอกหาอาหารว่าง หมาป่าเดียวดายเก็บฟืน ทุกอย่างเหมือนจะไม่ต่างจากปกติสักเท่าไร ถ้าจะมีก็มีธูปสามดอกเพิ่มมาในวัด นั่นคือกลุ่มคนงานขึ้นมา วันนี้ซ่อมทางภูเขาเสร็จ กลุ่มคนงานไปแล้ว หลิ่วเทาวิ่งขึ้นมาจุดธูปหนึ่งดอก ฝากเงินค่าจุดธูปไว้สองร้อยหยวน จากนั้นโค้งตัวแสดงความเคารพฟางเจิ้งถึงลาไป
เมื่อกลุ่มคนงานไปแล้ว ภูเขาเอกดรรชนีกลับมาเงียบอีกครั้ง ฟางเจิ้งกินข้าวเช้า ออกจากวัด มองขั้นบันไดที่สร้างใหม่พลางถูมือสองข้าง รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ พึมพำว่า “ถ้าจะร่ำรวยก็ต้องซ่อมถนนก่อน ตอนนี้มีถนนแล้ว รวยล่ะ?”
ตอนนี้เองมือถือดังขึ้น ฟางเจิ้งมองปราดหนึ่ง เห็นเด็กคนนั้นโทรมา ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไร ช่วยไม่ได้ ถ้าจะถามคงไม่ดีนัก ลูกตนเองยังไม่รู้เลยว่าชื่ออะไร จะย้อนแย้งกันได้ง่ายมาก!
รับสายแล้วฟางเจิ้งยังไม่พูด อีกด้านเป็นเสียงผู้หญิงที่ดูเหนื่อยล้าดังขึ้น แฝงไว้ด้วยการขอโทษลึกๆ “ขอโทษค่ะ”
ฟางเจิ้งงุนงง “อมิตาพุทธ อุบาสิกาพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ที่แท้ก็เป็นไต้ซือ ขอโทษค่ะ ช่วงนี้ลูกฉันรบกวนท่าน และก็ขอบคุณที่เมื่อคืนวานท่านมอบความสุขให้เขา” น้ำเสียงผู้หญิงมีความอ่อนล้าลึกๆ
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาพุทธ ไม่เป็นไรสีกา เด็กคนนี้เป็นเด็กดีมาก อาตมาแค่อยากให้เขามีความสุขก็เท่านั้น” ก่อนถามด้วยความแปลกใจ “อุบาสิกา บอกอาตมาหน่อยว่าทำไมถึงทำแบบนี้?”
“เฮ้อ…ลูกฉันซน ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง พ่อเขาเป็นตำรวจล่อซื้อยาเสพติด เขาพลีชีพตอนจับกุมเมื่อหลายปีก่อน เขาคือความภูมิใจของลูก เป็นฟ้าของลูก ฉันกลัวว่าลูกรู้ความจริงแล้วจะรับไม่ได้เลยไม่เคยบอกเขา สุดท้ายเขาป่วย ไม่ถือว่าร้ายแรง แต่เขาอยากเจอพ่อมาก ถ้าไม่เจอพ่อก็จะไม่กินยา ฉันเลยได้แต่หลอกเขาว่าพ่องานยุ่ง กำลังปกป้องประเทศ กลับมาไม่ได้
แต่เขาก็ยังไม่ยอม จะฟังเสียงพ่อ ฉันไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นมีหลายเรื่องมากที่ต้องทำ เลยบอกเบอร์มั่วๆ ไป อยากให้เขากินยาอย่างสบายใจ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะแอบใช้มือถือฉันโทรไป…” เธอพูดถึงตรงนี้มีการสะอื้นเล็กน้อย ผู้หญิงคนหนึ่งค้ำจุนครอบครัว เพื่อสามีและก็เพื่อลูก เธอต้องปกปิด ต้องใช้แขนเบาะบางของตนประคองครอบครัวนี้ไว้ ความเจ็บปวดและเหนื่อยยากในนั้นไม่ใช่เพียงอยู่บนตัว แต่ยังอยู่ในจิตใจ
“ไต้ซือ ขอโทษค่ะ ฉันไม่คิดจริงๆ ว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้” ผู้หญิงกล่าว
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “อุบาสิกา ช่วยไม่ได้ อาตมาชอบเด็กน่ารักคนนี้ ถ้าจากนี้มีความจำเป็น อาตมาจะปลอมเป็นพ่อให้ตลอดได้…”
ผู้หญิงตะลึงงันแล้วตอบกลับมาประโยคหนึ่ง “ขอบคุณค่ะ เขาหลับไปแล้ว คือ…ถ้าเป็นไปได้ขอตอนเย็นได้ไหมคะ? เขาต้องกินยาตอนนั้น”
ฟางเจิ้งยิ้ม “อมิตาพุทธ ได้แน่นอน แต่ว่าสีกา สีกาคิดจะปิดบังเขาไปตลอดหรือ? เด็กคนนี้จะเติบโตขึ้นทุกวัน การโกหกก็ยังเป็นการโกหก ถึงจะโกหกด้วยเจตนาดีก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องมีวันรู้ความจริง”
……………………………….