The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 284 พลังของไต้ซือ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 284 พลังของไต้ซือ
ฟางเจิ้งมองแวบแรก ไม่คิดเลยว่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับนานาชาติจะมีมุมขี้เล่นแบบนี้ จึงตอบกลับ “ดี ในที่สุดภูเขาเอกดรรชนีก็มีถนนดีๆ แล้ว ที่สำคัญคือมีราวจับด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครตกลงไปอีก”
“เลิศ!” หลี่เสวี่ยอิงส่งสติกเกอร์มาอีกครั้ง ตัวแอ่นไปข้างหลัง ยกนิ้วโป้งใหญ่แทบจะดันกรอบฉาก
ฟางเจิ้งพูด “สีกา สีกามีสติกเกอร์แบบนี้อีกเท่าไร? คงไม่ทำมาเป็นชุดจริงๆ หรอกนะ?”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว นี่คือผลงานที่สุดของฉัน! กรรมสิทธิ์ทั้งหมด ห้ามคนอื่นใช้!” หลี่เสวี่ยอิงส่งมาอีกภาพ เป็นรูปเอาสองมือเท้าสะเอว ทำหน้าลำพองใจมาก
พอได้ยินว่ากรรมสิทธิ์ทั้งหมดก็ตะลึงงันไป ก่อนตบเข้าที่หัวโล้น ยิ้มออก ตอบหลี่เสวี่ยอิงไปว่า “สีกา ช่วยหน่อยได้ไหม?”
“พวกเราสนิทกันขนาดนี้ พูดมาเลยค่ะว่ามีเรื่องอะไร?” หลี่เสวี่ยอิงส่งภาพเท่ๆ มาอีกภาพ ข้างล่างยังมีตัวอักษรแสดงให้เห็น ‘ว่าไงพี่น้อง พร้อมช่วยเสมอ!’
ฟางเจิ้งหัวเราะ หลังตรึกตรองแล้วจึงว่า “เร็วๆ นี้อาตมารู้จักเพื่อนคนหนึ่ง เธอเปิดร้านค้าออนไลน์ แต่ว่า…เธอทำธุรกิจไม่เป็น หลายวันมาแล้วยังไม่ได้อะไรเลย คือว่า…”
“หลวงพี่ฟางเจิ้งอยากให้ฉันโฆษณาให้เธอเหรอ? อันนี้มันก็ยากอยู่นิดๆ นะ…” หลี่เสวี่ยอิงทางปลายสายขมวดคิ้ว ถึงเธอจะสนิทกับฟางเจิ้งมาก และก็ชอบความรู้สึกสบายๆ ที่ฟางเจิ้งมอบให้ แต่เธอไม่อยากให้ระหว่างสองคนมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามา เธอมีเพื่อนที่เข้ามาเพื่อผลประโยชน์เยอะมากแล้ว เธออยากจะรักษาความสัมพันธ์บริสุทธิ์นี้ไว้มาก…
ฟางเจิ้งกล่าว “นั่นไม่จำเป็น สถานการณ์ของเธอพิเศษมาก ถ้าสีกาออกหน้าให้จริงๆ เธออาจจะไม่รับการช่วยเหลือ”
“เอ่อ มีเอกลักษณ์จังเลยนะคะ?” หลี่เสวี่ยอิงอึ้งไป ยังมีคนปฏิเสธการช่วยเหลือจากเธอ? ไม่พูดถึงอย่างอื่น ถ้าเธอลงมือช่วยจริงๆ มีโอกาสร้อยเปอร์เซ็นต์ที่อีกฝ่ายจะขายของหมด ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ!
“จะพูดอย่างไรดีล่ะ เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง” ฟางเจิ้งขบคิดแล้วเล่าเรื่องของฉินเสี่ยวให้หลี่เสวี่ยอิงฟัง หลี่เสวี่ยอิงฟังจบก็เงียบไป
ฟางเจิ้งเห็นหลี่เสวี่ยอิงตอบช้าจึงหยั่งเชิงถาม “ทำไมเงียบไปล่ะ?”
“ท่านรอเดี๋ยว ให้ฉันร้องไห้ก่อน” หลี่เสวี่ยอิงส่งสติกเกอร์น้ำตาไหลเป็นสายมา
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกอีกครั้ง นี่คือราชินีเสวี่ยอิงในหมู่ราชินีที่มีความสูงส่งและเย็นชาในสายตาทุกคน? นี่มัน…น้องสาวข้างบ้านชัดๆ!
ผ่านไปสักครู่ หลี่เสวี่ยอิงตอบกลับ “เป็นหญิงแกร่งจริงๆ จะต้องสนับสนุน แต่ว่าฉันจะช่วยเธอยังไง?”
“คือว่าอาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพื่อนสีกาเยอะ ช่วยคิดหาวิธีหน่อยเถอะ ถึงสีกาฉินจะไม่เคยพูด แต่อาตมารู้สึกได้ว่าเธอไม่หวังจะได้รับสายตาที่ต่างออกไป และไม่อยากได้การบริจาค เธอแค่อยากใช้ความสามารถตัวเองหาเงินเลี้ยงครอบครัว” ฟางเจิ้งพูด
“อย่างนี้เอง ให้ฉันคิดก่อนนะ จะให้เธอรู้ว่ามีคนช่วยเธอไม่ได้ แต่ก็ต้องช่วยเธอ นี่เป็นปัญหาจริงๆ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฉันขอไปคิดก่อนนะ ถ้าคิดออกแล้วจะติดต่อมาอีก ไปก่อนล่ะ” พูดจบหลี่เสวี่ยอิงเหมือนจะมีธุระ จากไปทันที
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก ถ้าหลี่เสวี่ยอิงยอมช่วยก็อาจจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ตอนนี้เองมีอีกข้อความเข้ามาทางวีแชต นั่นคือจิ่งเหยียน
“ไต้ซือคะ ท่านว่าทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนแบบนี้?” จิ่งเหยียนมาถึงก็บ่นเลย
ฟางเจิ้ง “อมิตาพุทธ สีกา บ่นน้อยลงหน่อย โลกเราจะสงบสุข”
“เอ่อ…ไต้ซือ ฉันบ่นหน่อยเดียวเองจะส่งผลมากขนาดนั้นเลยเหรอ” จิ่งเหยียนพูดจบก็หัวเราะ
ฟางเจิ้งตอบ “ก็อาจจะ”
“เอาเถอะ เพื่อรักษาให้โลกสงบสุข วัดเงียบสงบ ฉันจะไม่บ่นแล้ว แต่ว่าไต้ซือ ครั้งนี้ฉันเจอปัญหาอีกแล้ว ช่วยชี้แนะหน่อยค่ะ” จิ่งเหยียนไม่เกรงใจแล้ว ปากบอกว่าขอให้ช่วย แต่ไม่รอให้ฟางเจิ้งตอบตกลงก็เอ่ยต่อทันที “คนที่ฉันสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นภรรยาของตำรวจล่อซื้อยาเสพติด ตำรวจนายนั้นเสียเมื่อหลายปีก่อน กลุ่มพวกเราอยากช่วยเธอมาตลอด แต่ว่าเป็นตายยังไงเธอก็ไม่รับการช่วยเหลือเลย โดยเฉพาะภรรยา พูดมาประโยคหนึ่งว่า ‘ตลอดชีวิตเขาไม่เคยก้มหัวให้ใครมาก่อน เขาไปแล้ว ฉันจะช่วยเชิดหน้าเขาขึ้น! จะไม่ถ่วงขาคนอื่น’ ท่านคิดดู พูดแบบนี้ทุกคนจะช่วยได้ยังไง เฮ้อ…ไม่นานมานี้ลูกเธอป่วย ครั้งนี้เธอแบกรับไม่ไหวจริงๆ ถึงต้องรับการช่วยเหลือจากทุกคน”
ฟางเจิ้งได้ฟังเรื่องราวที่จิ่งเหยียนเล่าแล้วรู้สึกคุ้นๆ จัง? เลยถามไป “ที่สีกาพูดถึงใช้ครอบครัวของต่งปิงไหม?”
“เอ่อ? เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านมหัศจรรย์จริงๆ รู้ด้วย! เห็นนิมิตล่วงหน้าเหรอคะ?” จิ่งเหยียนถามด้วยความตกใจ
ฟางเจิ้งมองบน “ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ว่า…พูดยาก สรุปเอาเป็นเรื่องบังเอิญแล้วกัน อาตมาเคยติดต่อกับฉินเสี่ยว ตอนนี้เธอเปิดร้านค้าออนไลน์ สีการู้ไหม?”
“อะไรนะ? เธอเปิดร้านค้าออนไลน์? ไม่รู้ค่ะ” จิ่งเหยียนตกใจกว่าเดิม ก่อนรีบพูด “เธอเปิดร้านอะไรคะ? ฉันจะช่วยประกาศ”
“เอาน่า ถ้าสีกาประกาศ อาตมาเดาว่าเธอคงไม่เอาด้วยทันที สีกา อยากช่วยเธอหรืออยากได้ข่าว?” ฟางเจิ้งคิดแล้วก็ถามอย่างจริงจังมาก
จิ่งเหยียนตอบโดยไม่ต้องคิด “ข่าวไม่สำคัญ ช่วยเธอได้ก็พอ! ท่านไม่รู้หรอก ฉันก็เพิ่งรู้มาเร็วๆ นี้เหมือนกันว่าถึงเงินเดือนต่งปิงจะไม่สูง แต่ก็มีเงินบำเหน็จบำนาญให้ เพียงแต่ว่าเพิ่งได้เงินมาเธอก็บริจาคให้กับเด็กเป็นเนื้องอกในสมองคนหนึ่งผ่าตัด เธอเป็นคนดี…”
ฟางเจิ้งไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ แต่นี่ไม่สำคัญแล้ว “ถ้าสีกาอยากช่วยเธอจริงๆ ก็อย่าให้เธอเป็นข่าว ถ้าสีกาเปิดร้านค้าออนไลน์เป็นก็ช่วยสอนเธอเถอะ อืม…บอกไปว่าอาตมาแนะนำให้ไป”
“ได้! ฉันจัดการเอง แต่ว่าเมื่อก่อนก็ไปหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายปิดประตูไม่ต้อนรับ ครั้งนี้ไปอีก…”
“อาตมาจะช่วยพูดกับเธอเอง ถ้าเพียงแค่สอนทักษะ อาตมาคิดว่าเธอน่าจะยอม ยังจำตอนที่เราไปบริจาคของด้วยกันได้ไหม?” ฟางเจิ้งพูดเตือน
“บ่ะ รู้แล้วค่ะ มอบความรักให้คนอื่น อย่าใช้ใจบริจาคปฏิบัติต่อคนอื่น ถูกไหมคะ? วางใจเถอะ ฉันเรียนรู้มานานแล้ว” จิ่งเหยียนตอบ
สองคนคุยกันอีกสองประโยค จิ่งเหยียนก็ไปทำงาน
ขณะเดียวกันในเมืองชุน ฉินเสี่ยวกลัดกลุ้มมากจริงๆ ทุกวันนี้นอกจากทำอาหาร กินข้าวกับนอนแล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ จะเฝ้าอยู่หน้าจอมือถือ หวังว่าอีกเดี๋ยวจะมีคนมาถามราคา บางทีอาจจะขายรองเท้าได้สักคู่ แต่หลายวันผ่านไปเธอพบว่าการเปิดร้านค้าออนไลน์ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิด
‘ปัง…’ ตอนนี้เองเสียงของบางอย่างหล่นพื้นดังแว่วมาจากในครัว ฉินเสี่ยวพูด “เป่าเป่า ทำอะไรน่ะ?”
ฉินเสี่ยวดันเก้าอี้หมุนไปมองก็ตะลึงงัน เห็นทุกที่บนพื้นมีแต่ข้าว เด็กน้อยอายุสี่ห้าขวบกำลังเก็บข้าวด้วยสีหน้าร้อนใจ แต่ข้าวกระจายมากเกินไป เก็บไม่สะอาด เขาร้อนใจจนน้ำตาหยดลงติ๊งๆ แต่กลับไม่กล้าร้องไห้ออกมา
……………………