The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 288 ไต้ซือทำลับๆ ล่อๆ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 288 ไต้ซือทำลับๆ ล่อๆ
มีสามคำลอยมาในความคิด ‘วิชาไฝดำ!’
‘นี่มันอะไรวะ?’ ฟางเจิ้งงุนงง วิชาไฝดำ? ฟังจากชื่อแล้วดูไม่ร้ายกาจเอามากๆ แต่พออ่านเนื้อหาวิชาไฝดำอย่างละเอียดแล้ว ฟางเจิ้งพลันยิ้มร่า!
โจวอู่เห็นฟางเจิ้งยอมคนแบบนี้จึงกล้าหาญขึ้นมา โวยเสียงดังว่า “ไม่ได้ยินรึไง? ขนาดเจ้าของยังไม่ว่าอะไร แล้วพวกแกจะมาสนใจเรื่องคนอื่นทำไม?”
พวกชาวบ้านมองฟางเจิ้ง เป็นอย่างที่โจวอู่ว่าไว้ ฟางเจิ้งต่างหากคือเจ้าของ ถ้าฟางเจิ้งบอกว่าไม่ลงมือ พวกเขาก็ลงมือไม่ได้จริงๆ
ฟางเจิ้งยิ้ม “อมิตาพุทธ ทุกท่านอย่าโกรธเลย อาตมามีหน่อไม้บนเขาอีกไม่น้อย ทุกคนตามสบาย แต่ว่า ห้ามสิ้นเปลืองเป็นอันขนาด ถ้าสิ้นเปลืองล่ะก็…”
“สิ้นเปลืองแล้วทำไม?” โจวอู่คิดว่าฟางเจิ้งข่มขู่เขา
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “สิ้นเปลืองก็ต้องถูกลงโทษ”
“ใครจะลงโทษ?” เก๋อเยี่ยนถลึงตามองทีหนึ่ง ทำท่าทางไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ถ้าแกกล้าต่อว่า ฉันจะเอารองเท้าส้นสูงฟาดแก
“ภาษิตว่า เหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพเจ้าเฝ้ามองอยู่” ฟางเจิ้งพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินไป!
พวกชาวบ้านมองเงาแผ่นหลังฟางเจิ้งด้วยหน้ามึนงง นี่จะไม่สนจริงๆ หรือ? ฟางเจิ้งไม่สน พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่แยกย้ายกันไปด้วยความแค้นใจ
ขณะฟางเจิ้งกำลังเดิน เด็กแดงกระโดดลงมาจากกำแพง เดินหน้าเข้ามาหา เอามือไพล่หลัง เชิดหน้าขึ้นหัวเราะโหะๆ “อาจารย์ ท่านกลับมาแล้วหรือ? เจ้านั่นอวดดีขนาดนั้น สิ้นเปลืองไผ่หนาวไปมาก ท่านไม่จัดการรึ?”
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ถามกลับ “จัดการ จัดการแน่นอน ไม่ใช่ว่าอาจารย์จัดการไปแล้วรึ?”
“ชิ นั่นเรียกว่าจัดการรึ? พูดอยู่สองประโยคแค่นั้น? อาจารย์ ท่านขี้กลัวเกินไป” เด็กแดงเบะปาก
“อื้ม? ขี้กลัวเกินไป? ถ้าอย่างนั้นนายคิดว่าอาจารย์ควรทำยังไงล่ะ?” ฟางเจิ้งหัวเราะแล้วถาม
เด็กแดงตอบ “คนแบบนี้ควรจะลอกหนังดึงกระดูกออกมา โยนไปทอดในหม้อน้ำมันให้กรอบนอกนุ่มใน ไว้เป็นอาหารยามดึก!”
ตึง!
ฟางเจิ้งใช้มือดีดไปที่หัวเด็กแดง น่าเสียดายเด็กแดงมีร่างกายแข็งแกร่ง เคาะลงไปเหมือนกับตีเหล็กกล้า แม้ฟางเจิ้งจะมีแรงมือเยอะ แต่ดีดส่งเสียงดังตึง แทบจะแตกเป็นประกายไฟหลายแห่ง
เด็กแดงไม่เจ็บ แถมมองยั่วยุฟางเจิ้ง ความหมายชัดเจนมาก ‘เจ้าจะทำอะไรข้าได้?’
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ แล้วเริ่มสวดมนต์
“โอ๊ย…” เด็กแดงตาเหลือกลงไปกลิ้งด้วยความเจ็บปวดบนพื้น พร้อมกับพูดขึ้น “อาจารย์ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…เจ็บๆๆ…”
ฟางเจิ้งสวดแค่ประโยคเดียวก่อนชำเลืองตามองเด็กแดงที่มีเหงื่อเต็มหน้าผากและเจ็บปวดแวบหนึ่ง “ศิษย์เอ๋ย สิ้นเปลืองหน่อไม้เหล่านั้นเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก รอพวกเขาไปกันก่อน นายเก็บหน่อไม้บนพื้นกลับมาบนเขา เอาไปเลี้ยงเป็ดไก่ก็ยังดี”
เด็กแดงนั่งบนพื้นด้วยความโมโห มองเงาแผ่นหลังฟางเจิ้ง กัดฟันกรอดๆ ร้องตะโกนในใจ ‘ถ้าไม่ใช่เพราะสิ้นอภินิหาร มหาราชาอย่างข้าคงกินไอ้นักพรตบัดซบนี่ไปนานแล้ว!’
ด่าก็ด่าไป โกรธก็โกรธไป แต่งานก็ต้องทำ…ใครให้มาเจอกับอาจารย์บัดซบคนนี้กัน?
อีกด้าน โจวอู่หัวเราะ “หลวงจีนโง่นั่นสวดมนต์จนโง่แล้วรึไง? ยังมาบอกว่าเหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพเจ้าเฝ้ามองอยู่อีก มีก็บ้าแล้ว! เมียจ๋า ขุดหน่อไม้เถอะ!”
“หึๆ ฉันว่าเขากลัว พูดถึงผีสางเทวดาเพื่อขู่เรา ผู้ชายอ่อนแอแบบนี้มันขยะ” เก๋อเยี่ยนพูดจบก็ตบตัวลูกชายโจวหวินอู่ “ลูก จากนี้ต้องเอาอย่างพ่อนะ รู้ไหม? ไม่กล้าฟ้ากลัวดิน ใครกล้ารังแกลูกก็ต่อยมันเลย! ถ้ามีเรื่องจริงๆ เดี๋ยวพ่อกับแม่จัดการให้เอง!”
โจวเหวินอู่ก็เห็นเรื่องราวในวันนี้ รู้สึกว่าพ่อแม่ตนเจ๋งมาก สองคนเผชิญหน้ากับคนมากขนาดนั้นยังไม่กลัว จึงพยักหน้ารัวๆ “ครับ ผมรู้แล้ว! จากนี้ใครกล้าแกล้งผม ผมจะตีมันให้ตาย!”
โจวอู่หัวเราะเสียงดัง “นี่ต่างหากคือลูกพ่อ หลบหน่อย หน่อไม้นี่ดูแล้วไม่เล็กนะ ขุดออกมาดูหน่อย!”
เก๋อเยี่ยนกับโจวเหวินอู่หลีกทาง โจวอู่พับพลั่วทหารช่างจนเป็นพลั่วเล็ก ขุดลงไปดังปึก ทว่าพลั่วทหารช่างเล็กเกินไป ทำให้หน่อไม้ขาดกลาง
โจวอู่เบะปาก “เวร ขาดแล้ว ไม่เอา หาอันต่อไปเถอะ” เขาพูดพลางจะเดินไป ตอนนี้เองโจวเหวินอู่พูดขึ้น “พ่อครับ บนหน้าพ่อ!”
โจวอู่เอ่ย “บนหน้าพ่ออะไร?” โจวเหวินอู่พูด โจวอู่รู้สึกว่าคันๆ หน้า เอามือคลำ บนผิวหนังเหมือนมีจุดนูนขึ้นมา และยังมีขน…ในใจเลยเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
เก๋อเยี่ยนได้ยินเสียงร้องของโจวเหวินอู่ก็เงยหน้าขึ้นมอง ตกใจสะดุ้งเช่นกัน “เฮ้ย เหล่าโจว ทำไมบนหน้าคุณมีไฝดำขึ้นมาล่ะ?”
“อะไรนะ? จะเป็นไปได้ไง? หน้าผมเคยมีไฝตั้งแต่เมื่อไร?” โจวอู่รีบหยิบมือถือออกมา ใช้ความสามารถด้านการเซลฟี่ถ่ายรูปตัวเอง สรุปคือใต้หนังตาบนหน้ามีไฝดำเล็กขนาดเท่าตุ่มยุงกัดเพิ่มมาหนึ่งเม็ด
“นี่มันอะไรกันวะ? เมื่อก่อนไม่มีนี่?” โจวอู่พึมพำ
“เหมือนจะเพิ่งมีนะ” เก๋อเยี่ยนว่า
“ช่างเถอะ ไฝดำแค่นี้ไม่อะไรหรอก เดี๋ยวลงเขาค่อยไปดูที่โรงพยาบาล” โจวอู่ไม่สนใจ ยังคงขุดหน่อไม้ต่อไป ครั้งนี้ขุดมาได้ไม่เลว เขาชอบรูปลักษณ์ภายนอก จึงเก็บเข้าไปในกระสอบหนังงู
ถึงเก๋อเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ยังเป็นกังวลในใจมาก หลวงจีนนั่นบอกว่าเหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพเจ้าเฝ้ามองอยู่ พอสิ้นเปลืองหน่อไม้หนึ่งต้น กลับมีไฝดำเพิ่มมาหนึ่งเม็ด หรือว่ากรรมจะตามสนองจริงๆ? ดังนั้นเธอเลยแอบมองโจวอู่ตลอด เห็นไฝดำบนหน้าโจวอู่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงถึงถอนหายใจโล่งอก พูดงึมงำว่า “ไอ้หลวงจีนบ้านั่นทำให้ฉันตกใจแทบแย่…”
โจวอู่ขุดหน่อไม้อีกหลายหน่อ ซึ่งเป็นที่พอใจทั้งหมด ใส่ไปในกระสอบหนังงู ต่อมาชั่วโมงที่หกโจวอู่ไม่พอใจแล้ว ด่าทอว่า “แก่ขนาดนี้เลย? ไม่เอา!”
โจวเหวินอู่ข้างหลังวิ่งไปเล่นในป่าไผ่ เก๋อเยี่ยนเป็นห่วงลูกตนจึงวิ่งตามไปด้วยเลยไม่มีใครดูโจวอู่ โจวอู่รู้สึกว่าบนหน้าคันนิดๆ แต่ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงเป็นเพราะเหงื่อจึงขุดต่อไป เขาคัดเลือกหน่อไม้ ใหญ่ไปไม่เอา เล็กไปไม่เอา ดูที่สวยถึงจะเอา
แต่พวกชาวบ้านไม่ชอบโจวอู่ โจวอู่ไปที่ไหนจะถอยห่าง ขี้เกียจจะสนใจเขา
ไม่นานโจวอู่ขุดหน่อไม้ได้หนึ่งกระสอบหนังงู มองผลงานชั้นเยี่ยมของตนอย่างพอใจมาก หยิบมือถือมาถ่ายรูปหน่อไม้ในกระสอบหนังงูสองรูป ก่อนหันเลนส์กล้องกลับมาเตรียมจะถ่ายรูปคู่ แต่ต่อมา…
“บ้าอะไรวะเนี่ย!” โจวอู่เห็นคนในกล้องก็ตกใจจนมือสั่น โยนมือถือทิ้งไป!
เก๋อเยี่ยนกับโจวเหวินอู่ที่ได้ยินเสียงโจวอู่ร้องดังลั่นจึงมองมาทันที ก่อนร้องด้วยความตกใจพร้อมกัน “เหล่าโจว/พ่อครับ ทำไมหน้าดำแบบนั้น? มีขนด้วย?”
พวกชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงมองมา แต่ละคนตาค้าง ซ่งเอ้อโก่วอึ้งงันก่อนแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ว้าว! สวนสัตว์ที่ไหนไม่ได้ปิดประตูให้ดีนะ ปล่อยให้หมีดำออกมาได้? จิ๊ๆ หน้าดำจริงๆ หมีดำนี่อยู่ในเตาอบรึเปล่า? แถมขนยาวอีก? ฤดูใบไม้ร่วงเอามาถักเสื้อขนสัตว์ได้เลยไม่ต้องซื้อด้ายขนสัตว์แล้ว!”
……………………….