The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 296
ฟางเจิ้งเห็นหมูป่าวิ่งทะยานเข้ามาจากรอบทิศ พละกำลังตามไม่ทันอย่างเห็นได้ชัด ประสานมุทราไม่ทันเช่นกัน ส่วนอภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างเขาต้องให้จิตใจสงบลงก่อน ตอนนี้จะสงบลงได้อย่างไร? เขาชำเลืองตามองเด็กแดงแวบหนึ่งก่อนแค่นเสียงขึ้นจมูก “จิ้งซิน ยังไม่ลงมืออีก?”
เด็กแดงแบมือ “ไม่มีพลังก็สู้ไม่ได้”
ฟางเจิ้งเลิกคิ้วขึ้น “จะทำตัวปลิ้นปล้อนกับอาจารย์ใช่ไหม? จะทำงานหรือให้อาจารย์สวดมนต์มื้อใหญ่ให้สักมื้อ!”
เด็กแดงจะพูดบางอย่าง พลันรู้สึกว่าในร่างกายพลันมีพลังเต็มเปี่ยม วินาทีนั้นเด็กแดงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กระทืบเท้าลงพื้น!
โครม!
แผ่นดินและภูเขาสั่นสะเทือน หมูป่าทั้งหมดตกใจจนมึนงง ก่อนหมุนตัวกลับวิ่งหนีไป
“กลับมาหาท่านมหาราชาเดี๋ยวนี้ นอนหมอบลง ทุกตัวกระดกก้นขึ้น! ใครกล้าตุกติก ข้าจะตุ๋นพวกเจ้า!” เด็กแดงเอ่ยพลางอ้าปากพ่นเปลวไฟออกมา พริบตาเดียวกลายเป็นคุกเปลวเพลิงล้อมหมูป่าทั้งหมดไว้ นี่คือหมูป่าธรรมดา ไม่เคยเจอปีศาจหรือราชาปีศาจมาก่อน แม้จะรู้สึกว่าพลังของเด็กแดงน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ด้วยสัญชาตญาณของพวกมันจึงยังคงวิ่งหนี…ตอนนี้หนีไม่ได้ แต่ละตัวจึงมองเด็กแดงอย่างหมดแรง ในที่สุดก็ไม่กล้าแสดงนิสัยพาล เอาแต่นอนหมอบแน่นิ่ง จากนั้นกระดกก้นขึ้นอย่างเขินอาย
ฟางเจิ้งเพิ่งเคยเห็นกลอุบายของราชาปีศาจเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ในใจสั่นสะท้าน นี่มันราชาปีศาจที่ไหน นี่คืออาวุธปรมาณูในโลกมนุษย์ชัดๆ!
เด็กแดงแค่นเสียงหึๆ “อาจารย์ เป็นอย่างไร คืนพลังให้ข้าแล้วปัญหานี่จิ๊บจ๊อยไปเลย” เด็กแดงพูดสบายๆ แต่ในใจกำลังตรึกตรองอย่างรวดเร็วว่าจะลงมือจัดการไอ้สารเลวหัวโล้นนี่อย่างสะอาดและเรียบร้อยได้อย่างไร
‘เขาเป็นคนธรรมดา ข้าฟื้นพลังกลับมาแล้ว ชกหมัดเดียวภูเขายังถล่ม ไม่มีทางที่ไอ้สารเลวหัวโล้นนี่จะไม่ตาย ทว่าครั้งก่อนอัคคีฌานเผามันตายไม่ได้ หมัดข้าจะไหวจริงๆ หรือ? พระโพธิสัตว์กวนอิมมีพลังไร้ขอบเขต ถ้าไอ้สารเลวหัวโล้นนี่ฆ่าง่ายจริงๆ คงไม่ปล่อยข้ามา ไม่ได้ ต้องตรึกตรองให้ดีๆ ก่อน อืม…อย่างน้อยต้องหาโอกาสเหมาะๆ ลงมืออีก’ เด็กแดงคิดถึงปัญหาว่าจะลงมือหรือไม่
พวกหมูป่ากลัวแล้ว แต่พวกเขาพบว่าไอ้คนที่น่ากลัวที่สุดยังกลัวคนคิ้วโล้นนี่ จึงเข้าใจทันทีว่าเจ้านายก็คือไอ้โล้นนี่
หมูป่าที่หัวใหญ่สุดในนั้นพูดเสียงดัง “พวกเรายอมแพ้!”
ฟางเจิ้งมองหมูป่าที่กระดกก้นพร้อมกันเหล่านั้น ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ก่อนโบกมือไปว่า “อมิตาพุทธ ลุกขึ้นเถอะ พวกนายมีนิสัยฉุนเฉียวมาก ไม่พูดไม่จาจะลงมือทำร้ายคนกันเลย หลายปีมานี้ลงเขาไปเหยียบย่ำธัญญาหารของชาวบ้านหลายครั้ง ทำร้ายชาวบ้าน พวกนายรู้สำนึกไหม?”
“รู้สำนึกๆ…” พวกหมูป่าไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าศักดิ์ศรี ฟ้าดินกว้างใหญ่ ชีวิตใหญ่ที่สุด! ส่วนผิดหรือไม่นั้นอย่างไรก็ได้ คุณว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น
ฟางเจิ้งเอ่ย “ในเมื่อรู้สำนึก อาตมาจะลงโทษพวกนาย ยอมรับโทษไหม?”
“ตายรึเปล่า?” จ่าฝูงหมูป่าอดถามไม่ได้
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาพุทธ ไม่หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยอม” จ่าฝูงหมาป่าตอบอย่างตรงไปตรงมามาก
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออกเล็กน้อย หมูป่านี่มัน…ใช้ได้จริงๆ เอ่ยต่อ “ในเมื่อพวกนายยอมรับโทษก็ดี อาตมาจะลงโทษห้ามพวกนายลงเขาอีก ว่ายังไง?”
“หา?” จ่าฝูงหมูป่าไม่ยอมทันที “ข้างนอกมีของอร่อยเยอะแยะ สบายกว่าในภูเขาอีก…”
“หืม?” ฟางเจิ้งไม่ตอบ แต่เด็กแดงถลึงตามองทีหนึ่ง จ่าฝูงหมูป่าพลันตกใจจนหดคอ
หมาป่าเดียวดายมาที่หน้าจ่าฝูงหมูป่า แลบลิ้นเลียริมฝีปาก หัวเราะเบาๆ “ไอ้หมูแก่ ถ้าโวยวายอีกล่ะก็ ฉันจะพาฝูงหมาป่ามาล่าสัตว์ อื้ม…พูดจริงๆ นะ เนื้อพวกนายก็อ้วนใช้ได้”
จ่าฝูงหมูป่าไม่กลัวหมาป่าธรรมดา แต่มันสังเกตเห็นหมาป่านี่นานแล้ว ดุร้ายแถมทำลายข้าวของพังพินาศ นี่คือพันธุ์ผสมระหว่างหมีดำกับหมาป่า มีพลังไร้ขีดจำกัด ความเร็วดั่งสายลม เขี้ยวแหลมคมอย่างยิ่ง สู้กันครู่เดียวก็กัดหมูป่าไปไม่น้อย แถมยังงับแต่ก้น…ถ้าหมาป่านี่ไปพาฝูงหมาป่ามา มันก็กลัวจริงๆ แล้ว ถึงตอนนั้นพวกมันไม่ต้องคิดว่าจะลงเขาไปทำร้ายคนอีก แต่จะถูกทำร้ายเอง…
คิดถึงตรงนี้จ่าฝูงหมูป่ากล่าว “เอ่อ คือว่า…”
“บนเขามีอาหารอุดมสมบูรณ์ ข้างหลังยังมีเทือกเขา นายกังวลอะไร?” ฟางเจิ้งถาม
“นี่จะโทษพวกเราไม่ได้นะ ลิงไม่มีขนพวกนั้นตัดไม้กันไม่หยุด ตัดไม้ ตัดไม้ ตัดจนพวกเราไม่มีที่ขยับแล้ว ไม่ลงเขาแล้วจะไปไหน…” จ่าฝูงหมูป่าบ่น
ฟางเจิ้งอึ้งงัน พอตรึกตรองดีๆ ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เรื่องนี้จะโทษพวกหมูป่าไม่ได้ทั้งหมด มนุษย์ตัดไม้ทำลายป่ารุกรานบ้านสัตว์ ทำลายสมดุลระหว่างสัตว์ นี่ถึงมีหมูป่าเอ่อล้นออกมาเป็นหายนะและเป็นอันตรายกับคน ให้พูดจริงๆ คือเรื่องที่มนุษย์ประสบอธิบายได้ว่าเป็นกรรมตามสนอง
แต่สองปีนี้ชาวบ้านไม่ตัดไม้แล้ว ประเทศออกกฎเป็นลายลักษณ์อักษรว่าห้ามตัดไม้ ทั้งยังคืนผืนป่าให้ ไร่นาหลายแห่งใกล้ๆ กับเทือกเขาทงเทียนเริ่มปลูกต้นไม้กันแล้ว นี่ถือว่าเป็นการชดเชย
นึกถึงตรงนี้ฟางเจิ้งถอนหายใจ “อมิตาพุทธ พวกนายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ พวกเขาจะคืนป่าให้กับพวกนายในเร็วๆ นี้”
“จริงเหรอ?” จ่าฝูงหมูป่าถาม
“แน่นอน” ฟางเจิ้งตอบ
“ถะ…ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตกลง พวกเราจะไม่ลงเขาแล้ว ความจริง…บนเขาก็มีอาหารป่าให้กินเยอะแยะ แต่ว่าของกินบนเขามันอยู่แยกกัน จะกินก็ต้องวิ่งหาไปทั่ว ไม่เหมือนลงเขาที่รวมเป็นกองๆ กินฟินกว่า…” จ่าฝูงหมูป่าคิดคำนวณอย่างดี เมื่อก่อนไปข้างนอกก็เพราะคนข้างนอกรังแกง่าย นอกจากตะโกนสร้างเสียงดังแล้ว ทำอันตรายอะไรพวกมันไม่ได้เลย บางครั้งก็มีพวกดวงซวยถูกจับไว้หลายตัว แต่สำหรับหมูป่าฝูงใหญ่แล้วเลยมองข้ามไม่สนใจไปได้เลย
จ่าฝูงหมูป่าไม่สนใจความเป็นตายของหมูป่าตัวสองตัวเลย มันสนใจเพียงว่าทั้งฝูงจะดำรงชีวิตและขยายพันธุ์ได้หรือไม่ มันรับได้กับการตายอย่างเหมาะสม ดังนั้นขอเพียงไม่ถูกฆ่าล้างบาง แค่เดินบนภูเขามากหน่อยก็ไม่ถือว่ามากมายอะไร
หลังจัดการพวกหมูป่าแล้ว ฟางเจิ้งพูด “จิ้งซิน เก็บเปลวไฟของนายซะ”
เด็กแดงอ้าปากเล็กแล้วสูบเข้ามา เปลวเพลิงทั้งหมดลอยขึ้นก่อนพุ่งเข้าไปในปากเขา กลืนลงไปตรงๆ เด็กแดงเช็ดปาก “อาจารย์ ท่านมั่นใจรึว่าจะไม่เอากลับไปตุ๋นกินสักตัว?”
ฟางเจิ้งมองค้อนเด็กแดงทีหนึ่ง “พูดมากไร้สาระแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ตอนนี้บินได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“ได้ ทำไมรึ?” เด็กแดงถาม
“หลายหมู่บ้านใกล้ๆ เทือกเขาทงเทียนถูกฝูงหมูป่าปิดล้อม ในเมื่อลงมือแล้วก็ต้องแก้ปัญหาครั้งนี้ให้ได้ พาอาจารย์บินไป” ฟางเจิ้งว่า
เด็กแดงอึ้งไปก่อนยิ้มเล็กน้อย ยกฟางเจิ้งบินขึ้นฟ้าแล้วหายวับไปในความมืด
………………….