The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 30
ตอนที่ 30 หมาป่าแบกน้ำ
เจียงถิงเดินเข้าไปถามอย่างไม่เกรงกลัวฟางเจิ้ง “ไต้ซือ ขอโทษค่ะ เมื่อกี้เพื่อนฉันพลั้งปากไป เขาเป็นห่วงเพื่อนน่ะค่ะ เลยตะโกนด้วยความวิตก ท่านอย่าคิดจริงจัง นะคะ”
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ในใจ ‘ต่อให้ฉันคิดจริงจังก็ต้องให้ระบบอนุญาตอยู่ดี! ในเมื่อจะแก้แค้นเพราะเรื่องเล็กๆ ไม่ได้ ถ้างั้นก็เป็นไต้ซือใจกว้างไปแล้วกัน…’ ดังนั้นฟางเจิ้งยังคงยิ้ม “อมิตพุทธ คำพูดดีของหมาป่าร้ายก็ยังเป็นคำพูดดี อาตมาจะไปโกรธได้ยังไง? พวกโยมนี่ก็สายแล้ว วัดอาตมาเป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องที่พักและอาหาร หากพวกโยม ไม่มีอาหารก็รีบลงเขาดีกว่า ไม่อย่างนั้นตอนเที่ยงคงหิวแย่”
หลังคนพวกนี้ขึ้นเขามาแล้วฟางเจิ้งก็ไม่มีความสุขนัก อีกอย่างเขาเห็นภาพโหวจื่อกับหลูเสียวอ่าเกิดอุบัติเหตุตอนเย็น ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยง ถ้าลงเขาเร็วหน่อยก็ไม่แน่ว่าอาจจะเลี่ยงอุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงรีบไล่ไป ในเมื่อไม่มาจุดธูป ก็เอาบุญช่วยคนพวกนี้ แล้วกัน
พั่งจื่อเองก็ใจฝ่อบ้างแล้ว รีบกล่าว “ใช่ พวกเราไม่ได้เอาอะไรมากิน รีบไปเถอะ”
“ไต้ซือ ขอละลาบละล้วงถามหน่อยนะ ท่านเป็นคนทำรอยมือนี่เหรอ?” โหวจื่อถาม ดวงตาขยับประกายวาววับ
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองรอยมือนั้นแวบหนึ่ง เขาโกหกไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่ได้ แต่ให้ยอมรับเหรอ? นี่มันแปลกเกินไปไหม คนจะมีพลังขนาดนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เขาไม่อยากถูกจับไปแยกส่วนวิจัย จึงยิ้มเล็กน้อยพลางสวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ” แค่นี้แล้วไม่พูดอะไรอีก
ดังนั้นพวกโหวจื่อจึงไม่เข้าใจความหมายของฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “พวกโยม นี่ก็สายแล้วนะ”
“โหวจื่อ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันหิวแล้ว ไปเถอะ” พั่งจื่อไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว จึงเอ่ยเร่งรัด
โหวจื่อมองฟางเจิ้งอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเรียกทุกคนจากไป ก่อนไปเจียงถิงมองฟางเจิ้ง มีท่าทีเหมือนจะพูดแต่ก็เงียบไป น่าเสียดายฟางเจิ้งเพียงแค่มองเธอพลางหัวเราะเบาๆ ไม่ได้สื่อความหมายว่าจะตรงเข้าไปพูดด้วย
เห็นห้าคนนี้ออกจากวัดฟางเจิ้งก็ถอนหายใจโล่งออก พูดพึมพำ “ลงเขาเร็วขนาดนี้ ตรงตีนเขาก็เป็นที่รกร้าง พวกเขาไม่น่าจะอยู่ต่อ อืม กลับเร็วหน่อยน่าจะหลีกภัยพ้น ระบบ ฉันถือว่าทำกุศลไม่มีสิ้นสุดรึเปล่า? ช่วยชีวิตสองคน จะได้จับรางวัลสองครั้งไหม?”
“ติ๊ง! รอพวกเขาผ่านพ้นภัยจริงๆ ก่อนถึงจะนับ”
“ถ้างั้นก็ช่างเถอะ ฉันนั่งรอจับรางวัลดีกว่า เฮอะๆ” ฟางเจิ้งอารมณ์ดีมาก ชำเลืองตามองรอยมือบนประตูใหญ่แวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “นี่ก็น่าเกลียดเกินไป!”
พูดจบเขาออกแรงกดมือไปข้างบน! ได้ยินเพียงเสียงเหล็กเปลี่ยนรูป ไม่นานรอยมือนั้นถูกกดกลับไป เพียงแต่ว่ายังไม่ราบเรียบมากนัก ฟางเจิ้งก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาไม่ใช่ช่างเหล็ก ไม่มีความประณีต ได้แค่จากนี้หาโอกาสให้คนมาซ่อม
หลังจัดการประตูใหญ่แล้วก็ไปหลังลาน จุดไฟ ซาวข้าว ทำอาหาร! แต่เขากลับพบปัญหาอย่างหนึ่ง ถังน้ำในห้องครัวหายไปสองใบ! นั่นคือถังน้ำที่ให้หมาป่าเดียวดายใช้โดยเฉพาะ!
โหวจื่อ พั่งจื่อ หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่ง เจียงถิงห้าคนออกจากวัด พั่งจื่อพลันถอนหายใจโล่งอก ซ้ำยังบ่นพึมพำ “ออกมาสักที วัดนั่นทำฉันอึดอัดแทบแย่”
“นายหวาดระแวงเองต่างหาก กลัวไต้ซืออัดน่วมรึไง?” หร่วนอิ่งหัวเราะ
ถูกว่าที่ภรรยาหยอกล้อแบบนี้ พั่งจื่อจะกล้าโกรธได้หรือ ได้แต่หัวเราะซื่อๆ
โหวจื่อหันหลังไปมองวัดอยู่ตลอด น่าเสียดายบนเขามีต้นไม้เยอะ ในมุมของเขาเห็นแค่กระเบื้องวัด ไม่เห็นประตูวัด
หลูเสียวอ่าถามขึ้นเบาๆ “อะไรเหรอ? มีอะไรแปลกรึเปล่า?”
โหวจื่อยิ้มเฝื่อน “ชีวิตนี้ฉันไม่สนใจอะไรนอกจากศิลปะการต่อสู้ รอยมือนั่นน่าตกใจมาก หากเป็นฝีมือคนทำจริงๆ จะต้องเป็นยอดฝีมือแน่”
“ช่างเถอะน่า เณรคนนั้น…ค่อยว่ากันเถอะ ที่นายพูดน่ะมันคือ ในนิยายกำลังภายใน สมัยนี้มีใครมีความสามารถแบบนั้นบ้าง? ต่อให้มี เณรที่อายุน้อยกว่าพวกเราจะทำได้เหรอ? ไร้สาระจริงๆ” พั่งจื่อพูดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
หลูเสียวอ่าก็พูดเช่นกัน “พั่งจื่อพูดถูก เธอน่ะอ่านนิยายมากเกินไป เพ้อฝันทั้งวัน ถ้าวัดนั่นมีอะไรแปลกจริงๆ ฉันว่าต้นไม้แก่นั่นน่ะแปลก เหมือนจะเป็นต้นโพธิ์ แต่ต้นโพธิ์เป็นพืชภาคใต้ ทำไมถึงมาอยู่ภาคเหนือ? อีกอย่างนะนี่ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้วดันแตกกิ่งเฉยเลย น่าแปลกจริงๆ”
เจียงถิง “ฉันก็เห็นเหมือนกัน แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่กล้ามั่นใจประเภทของต้นไม้นั่น พอได้ยินเสียวอ่าพูดแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้นโพธิ์ทางใต้แตกกิ่งออกใบก่อนเข้าฤดูหนาว แปลกจริงๆ อีกอย่างดูจากภายนอกแล้วเหมือนกับต้นไม้แห้งแตกหน่อใหม่เลย”
“เอาเถอะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันขนลุกไปทั้งตัวแล้ว สรุปนะ วัดนั่นแปลกทุกที่ ไม่มีปกติเลย รีบไปกันดีกว่า” พั่งจื่อขัด
ขณะกำลังคุยกัน หร่วนอิ่งที่เดินอยู่หน้าสุดกรีดร้องเสียงแหลม “กรี๊ด หมาป่า!”
“หมาป่า? เธอล้อฉันเล่นเหรอ? สมัยนี้ยังมีหมาป่าอีกเรอะ? บ่ะ มีหมาป่าจริงๆ!” ก่อนหน้าพั่งจื่อไม่คิดอย่างนั้น ทว่าต่อมาก็ตกใจจนแทบฉี่ราด!
โหวจื่อมองไปเห็นหมาป่าตัวใหญ่เหมือนกับลูกวัวกำลังขึ้นมาจากตีนเขา หางตก ดวงตาแคบดุร้าย เขี้ยวคมกริบอย่างยิ่ง! เพียงแต่ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
“นี่หมาป่าจริงๆ เหรอ? ทำไมถึงแบกถังน้ำล่ะ? อีกอย่างขนดูชื้นๆ ด้วย…” เจียงถิงอดไม่ไหวถามขึ้น
“อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ แปลกจริงๆ หรือว่าจะเป็นหมาพันธุ์ฮัสกี้ปลอมตัวมา?” พั่งจื่อกล่าว
“อย่าขยับนะ นี่มันหมาป่า! ดูจากร่างกายแล้วน่าจะเป็นจ่าฝูง!” โหวจื่อพูดเสียงเบา
พั่งจื่อ หร่วนอิ่ง หลูเสียวอ่าและเจียงถิงตกใจกลัว หลูเสียวอ่าพูดขึ้นเหมือนจะร้องไห้ “ฉันบอกแล้วว่าอย่ามา พวกเธอก็จะมาให้ได้ เสร็จแน่ พวกเราต้องถูกหมาป่ากินแน่”
“หมาป่านี่น่าจะมีคนเลี้ยงนะ ไม่น่าจะทำร้ายคน พวกเธอดูดวงตามัน ไม่มีเจตนาร้าย และก็ไม่โชว์เขี้ยวกับกรงเล็บด้วย มันแบกถังน้ำอยู่ไม่น่าจะเป็นอะไร ทุกคนอย่าทำอะไรมันก็พอ หลีกทางให้มันไป” เจียงถิงเอ่ย
โหวจื่อพยักหน้า ห้าคนจึงเรียงกันเป็นแถวยืนพิงผนังอย่างดี ช่วยไม่ได้ จะหนีเหรอ? คนอ้วนหนึ่งคนกับผู้หญิงสามคนจะหนีหมาป่าได้ยังไง?
พอหมาป่าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกเขาก็กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ ไม่กล้าหายใจแรง หลูเสียวอ่ากับหร่วนอิ่งตกใจจนหลับตา ทำเหมือนปล่อยให้เป็นไปตามชะตาลิขิต เจียงถิงก็ไม่ได้ไปไหน แต่ก็ยังใจกล้า ยืนนิ่งไม่หลับตา
จากนั้นเธอก็พบสิ่งที่น่าตกใจคือ หมาป่าไม่ได้จะทำร้ายพวกเธอจริงๆ แต่แบกถังน้ำสองถังขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว
ห้าคนนี้มองเงาแผ่นหลังหมาป่าพลางผ่อนลมหายใจยาว มองกันแวบหนึ่งดูงงงันเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน