The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 301 ประตูไร้ลักษณ์เปิด
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 301 ประตูไร้ลักษณ์เปิด
เด็กแดงยังคงไม่ยอม “แต่ว่า พวกเขาเรียนต่างกัน ทุกศาสนาต่างกัน ท่านจะบอกว่าวิธีต่างกันแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันไม่ได้?”
ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ลัทธิขงจื๊อกล่าวว่า ‘ฝึกกาย ลัทธิเป็นระเบียบ ดูแลโลก ใต้หล้าสงบสุข’ กล่าวคือให้ความสำคัญกับการฝึกฝนของชีวิตนี้ ขงจื๊อกล่าวว่า ‘ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างไร แล้วจะไปรู้เรื่องปฏิบัติต่อผีทำไม’ นี่คือการบอกว่าผู้คนต้องเข้าใจชีวิตก่อน ค่อยคุยเรื่องความตาย เข้าใจความเป็นแล้วค่อยคุยเรื่องความตาย นี่คือความหมายของการให้ความสำคัญกับชีวิต ไม่ใช่ความหมายของความตาย ‘ยามยากเฝ้ารักษาคุณความดีเฉพาะตน เมื่อบรรลุผลอย่าหลงลืมส่งผ่านความดีสู่แผ่นดิน’ ทุกอย่างนี้พูดถึงการเข้าสังคมและดูแลโลก
ที่พุทธศาสนาเน้นหนักคือ ‘เห็นชีวิต ช่วยโลก เข้าใจทุกสรรพสิ่ง’ กล่าวคือ ‘ทุกอย่างบนโลกล้วนคือความว่างเปล่า อันธาตุดินน้ำลมไฟต่างว่างเปล่าทั้งสิ้น แสวงหาความไม่ว่างเปล่าของชีวิตคนจากความว่างเปล่า’ พูดง่ายๆ คือแสวงหาการหลุดพ้นของจิตวิญญาณ รักษาจิตใจคน พอจิตใจคนได้รับการเยียวยา ใต้หล้าย่อมได้รับการรักษา จิตใจคนมีแต่ความดี ใต้หล้าก็จะเป็นไปตามธรรมชาติและรักษา
และที่ลัทธิเต๋าเน้นหนักคือ ‘บำรุงชีวิต อยู่อย่างสันโดษ ถึงแก่นแท้ทุกสรรพสิ่ง’ เล่าจื๊อคิดว่าทุกสรรพสิ่งมีกฎการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ให้ผู้คนปฏิบัติตามกฎแห่งสวรรค์ เป็นไปตามธรรมชาติ เรียนรู้เต๋าการเป็นสัตว์สังคมจากธรรมชาติ ตระหนักรู้ธรรมชาติ จิตใจคนย่อมสงบ เมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับความตาย ความสูญเสีย สิ่งกวนใจหรือสุขเศร้าโกรธแค้น ตอนที่อยากจะชะล้างความกลุ้มใจและคับแค้นใจ จงมองคำสอนของลัทธิเต๋า เข้าสู่ธรรมชาติ สัมผัสถึงความสงบของธรรมชาติ ก็จะรักษาโรคเรื้อรังในใจได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงความทุกข์ในกาย เมื่อในใจไม่มีความแค้น ไม่มีความผิด ใต้หล้าย่อมสงบสุข
จิ้งซิน นายคิดว่าสามศาสนามีวิธีการที่ต่างกันแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันไหม?”
เด็กแดงฟังจบก็พูดไม่ออกเลย เขาจะพูดอะไรได้อีก? ทว่าก็ยังพูดด้วยความไม่พอใจ “พูดดี ก็ไม่เห็นพวกท่านจะเคยทำอะไรเลย…หึๆ…”
ฟางเจิ้งรู้ว่าเด็กแดงกำลังโวยวายอย่างไร้เหตุผลจึงขี้เกียจสนใจ แต่มายืนมองเทือกเขาทงเทียนตรงหน้าผา มีร่างเงาของนักพรตเต๋าเล่อเทียนวูบผ่านในใจ ที่ผ่านมาฟางเจิ้งเคยสัมผัสกับนักบวช ชาวบ้านและยังมีคนในเมือง เขาเพิ่งเคยสัมผัสนักพรตเต๋าเป็นครั้งแรก ทว่าเล่อเทียนให้ความรู้สึกที่เหมือนกับโลกใบใหม่! ความแปลกใหม่นั้นไม่ใช่การทุบโลกทัศน์จริงๆ หรือบุกเบิกโลกใหม่ แต่เป็นความรู้สึกที่มองสิ่งเก่าๆ เหมือนใหม่…
ฟางเจิ้งรู้สึกได้ถึงความสุขในใจนักพรตเต๋าเล่อเทียน นั่นคือฉันคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือฉัน ถึงโลกจะกว้างใหญ่ แต่กลับเป็นอิสระอย่างไร้ความทุกข์ และยังไม่มีความกลัดกลุ้มดั่งเด็กน้อย ไม่มีใบหน้าของชาวโลก ไม่มีการคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น คิดอะไรก็พูด ทำ ทำผิดก็ยอมรับแล้วแก้ไขทันที วิธีการง่ายๆ แบบนั้นทำให้ฟางเจิ้งค่อนข้างเลื่อมใส…
“ระบบ ทำไมนักบวชที่ฉันเจอส่วนใหญ่ถึงใจนิ่งดั่งขุนเขา รู้สึกเหมือนนักบวชเฒ่าเข้าฌานเลย แต่เล่อเทียนให้อีกความรู้สึกหนึ่ง มีพลังชีวิตงอกงาม ราวกับหน่ออ่อนแตกขึ้นมาจากดิน? หรือว่าพุทธสู้เต๋าไม่ได้?” ฟางเจิ้งไม่เข้าใจ
“เมื่อกี้นายยังบอกอยู่เลยว่าวิธีต่างกันแต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน ทำไมพอมาถึงทีตัวเองแล้วกลับสงสัย? เห็นใจเห็นชีวิต นายมองไม่เห็นเจตนาเดิมของตัวเองจะมองเห็นชีวิตได้อย่างไร? ในด้านการบำเพ็ญเพียร นักพรตเต๋าเล่อเทียนเดินไปไกลกว่านาย เขาเห็นใจเห็นชีวิตแล้ว ทั้งยังตระหนักเต๋าแห่งชีวิตของตัวเองจากธรรมชาติ นั่นเหมือนกับชีวิตใหม่ที่แตกหน่อออกมาจากดินชั่วนิรันดร์ เขามองอะไรจะแปลกใหม่ จะสวยงามและมีสีสันตลอด แต่นาย ยังคงอยู่ในฝุ่นขมุกขมัว…นี่จะใช้อภินิหารแก้ไขไม่ได้ นายต้องตระหนักด้วยตัวเอง” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งอึ้งไปนิดๆ ก่อนถอนหายใจ “สรุปคือเส้นทางบำเพ็ญเพียรพุทธศาสนายาวไกล ฉันยังห่างชั้นอยู่หลายขุม เร็วๆ นี้มีคนเรียกฉันว่าไต้ซืออย่างนู้นอย่างนี้ แต่มันไม่เป็นความจริง”
“ตอนนี้นายมีพื้นฐานที่ดี แต่ประสบการณ์ยังน้อยเกินไป ยังอ่อนเรื่องทางโลกมากเกินไป บางครั้งมองไม่เห็นก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อมีประตูไร้ลักษณ์แล้ว ลองออกไปดูหน่อยไหม ดูโลกกว้างใหญ่นี่ซะ” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งพยักหน้าเหมือนมีความคิด สื่อว่าเข้าใจ
เขาพาเด็กแดงเดินหนึ่งรอบ ตอนที่มาถึงวัดแสงตะวันรอนส่องขึ้น ย้อมฟ้าเป็นสีแดง ดูสวยมากจริงๆ
กินข้าวเย็นเสร็จ ฟางเจิ้งไม่รีบร้อนไปอ่านพุทธคัมภีร์ แต่นึกถึงคำพูดของระบบ ออกไปดูข้างนอกบ้าง…
“จิ้งซิน กินเสร็จรึยัง?” ฟางเจิ้งถาม
“กินเสร็จแล้ว ทำไมรึ?” เด็กแดงถาม
“ตามอาจารย์ออกไปเดินเล่นหน่อย นายมาวัดเอกดรรชนีก็นานแล้ว ยังไม่เคยไปเห็นโลกข้างนอกเลยนี่ วันนี้อาจารย์จะพาออกไปดู” ฟางเจิ้งว่า
เด็กแดงได้ยินแบบนั้นดวงตาเปล่งประกายทันที ทุกอย่างบนเขาเอกดรรชนีแปลกใหม่กับคนส่วนมากจริงๆ แต่สำหรับเขาแล้วไม่ขนาดนั้น ทว่าพอเห็นมือถือฟางเจิ้งรวมถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีเล็กน้อยแล้ว เด็กแดงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ไม่อยากเชื่อว่าคนธรรมดาจะสร้างสิ่งเหล่านี้ออกมาได้? น่าสนใจจริงๆ! เพียงแต่ว่าฟางเจิ้งไม่พูด เขาก็ไม่กล้าไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ตอนนี้ฟางเจิ้งจะพาเขาออกไปก็ย่อมเต็มใจอย่างยิ่ง!
ฟางเจิ้งพูด “จิ้งฝ่า จิ้งควน จิ้งเจิน พวกนายสามคนอยู่บนเขาเฝ้าบ้านล่ะ”
หมาป่าเดียวดาย กระรอกและลิงได้ยินเข้าพลันห่อเหี่ยว เดิมทีคิดว่าจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีพวกมัน
ฟางเจิ้งยิ้ม “พวกนายไม่ต้องรีบ จากนี้ไปอาตมาจะพาออกไปบ่อยๆ ทุกครั้งจะสับเปลี่ยนศิษย์กันไป มีโอกาสกันทุกคน”
เมื่อเจ้าสามตัวได้ยินว่าตนก็มีโอกาสออกไปเหมือนกันจึงยิ้มร่าเริง ไม่มีความเศร้าอะไรแล้ว
“อาจารย์ พวกเราเดินทางตอนนี้เลยรึ?” เด็กแดงรอไม่ไหวแล้ว เขาแทบจะเบื่อภูเขาห่วยๆ นี่จะตายอยู่แล้ว จึงร้อนใจอยากจะออกไปจนทนไม่ไหว
ฟางเจิ้งว่า “อืม ไปตอนนี้แหละ ไปกันเถอะ”
มาถึงประตูใหญ่ ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก นึกถึงการเปิดประตูไร้ลักษณ์ในความคิด วินาทีนั้นมีข้อมูลมากมายเพิ่มมาในความคิดเขา
เหมือนได้ยินเสียงคนคุยกันรางๆ
“หกสิบปีแล้ว…”
“คุณอยู่ไหน?”
“หกสิบปีแล้ว ส่งฉันไป!”
ตรงหน้าเลือนราง ฟางเจิ้งเห็นไฟนีออนสีฟ้าสว่างวูบวาบ รถยนต์แล่นผ่าน แต่กลับมองเห็นไม่ชัด ภาพหายไปอย่างรวดเร็ว นั่นเหมือนกับรถคันหนึ่ง
“ติ๊ง! ภารกิจประตูไร้ลักษณ์เปิด ได้ให้ข้อมูลการตามหากับนายไปแล้ว นายต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้หาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ช่วยอีกฝ่าย หลังสำเร็จภารกิจจะสามารถเปิดประตูไร้ลักษณ์กลับเขาเอกดรรชนีได้ตลอดเวลา”
“ไม่ใช่มั้ง? ข้อมูลแค่นี้เหรอ? ฉันจะไปหาคนจากไหน?” ฟางเจิ้งร้องโวย นี่มันจะเกินไปแล้ว ภาพเลือนรางขนาดนั้นแถมยังมีเสียงอีก เขาจะไปหาคนจากไหน?
“ฉันเองก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ภารกิจที่ประกาศจากประตูไร้ลักษณ์จะใช้วิธีคำนวณซับซ้อนจากบุญกุศล ความยึดมั่นและแรงปรารถนาเป็นต้น จะสุ่มเลือกเป้าหมายที่สอดคล้องกับภารกิจมาหนึ่งคน จากนั้นคว้าภาพเงาของอีกฝ่ายไว้ ซึ่งจะคว้าได้แค่ภาพเงาเลือนรางกับเสียงเล็กน้อย” ระบบตอบ
…………………..