The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 304 หลวงจีนมาอีกแล้ว
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 304 หลวงจีนมาอีกแล้ว
ฟางเจิ้งยืนมึนงงอยู่ในห้องโถงโรงพยาบาลใจกลางมณฑล เขาเคยไปโรงพยาบาลอำเภอซงอู่มาแล้ว โรงพยาบาลอำเภอซงอู่ไม่เล็กเช่นกัน แต่ว่าเทียบกับโรงพยาบาลตรงหน้าแล้วกลับเหมือนเจอคนที่แน่กว่า แค่ตึกใหญ่ของโรงพยาบาลนี่ก็มีหลายสิบตึกแล้ว! มีพื้นที่กว้างมากราวกับเมืองเล็ก! ฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงนี้ ดวงตาสองข้างมืดหม่น แยกไม่ออกเลยว่าที่ไหนคือที่ไหน! ตอนนี้เองเขาพบว่าตนยังขาดประสบการณ์ต่อโลกนี้ ออกมาได้ แต่เข้าสังคมกลับสับสน…ไม่เคยผ่านโลกมาก่อน จะบำเพ็ญเพียรแล้วสำเร็จอรหันต์ได้อย่างไร?
คิดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งยิ่งมั่นใจในการออกมาข้างนอกเพื่อดูโลกให้มากขึ้นนับจากนี้ อีกอย่างอยู่วัดเอกดรรชนีจะมีใครมาให้ช่วยสักกี่คน? จะได้บุญกุศลสักเท่าไร? คิดถึงที่ผ่านมา เวลาโดยพื้นฐานที่ได้รับบุญกุศลคือตามเดือน ตอนนี้มีประตูไร้ลักษณ์แล้ว ต้องเอามาใช้ประโยชน์ถึงจะถูก
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ดูเด่นตาเล็กน้อย จีวรขาวทั้งตัว หัวโล้น ข้างกายมีเด็กสวมตู้โตวเปลือยก้น เวลานี้คนที่เดินผ่านจะมองมาโดยจิตใต้สำนึก ก่อนพูดคุยกัน…
“เฮ้ย ดูหลวงจีนนั่นที่พาเด็กน้อยมา”
“คงไม่ใช่ลูกแท้ๆ หรอกนะ”
“ถุย หลวงจีนนั่นเพิ่งอายุเท่าไร? จะมีลูกแท้ๆ เหรอ ถ้าอย่างนั้นต้องแต่งงานตอนอายุกี่ขวบ?”
“ปู่ฉันถูกผู้รุกรานแทงตายตอนฉันห้าขวบ ตอนเขาห้าขวบก็เป็นพ่อคนแล้ว หลวงจีนนี่อายุเยอะขนาดนี้แล้ว มีลูกแล้วจะทำไม?”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นพลันมีเส้นสีดำขึ้นตรงหน้าผาก เจ้าพวกนี้สมองเติบโตมาอย่างไรกัน? ถึงคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้!
“อาจารย์ ดูเหมือนว่าจะหาคนที่ท่านอยากพบไม่ได้ยากธรรมดาแล้วนะ” เด็กแดงมองไปรอบๆ พลางถาม
ฟางเจิ้งถอนหายใจ ไม่ใช่ไม่อยากถาม แต่หลังจากถูกหยอกเย้าก่อนหน้านี้ เขากระดากอายจะถามนิดหน่อยแล้ว แต่ก็ปิ๊งความคิดขึ้น นัยน์ตามีแสงทองสว่างวาบ เปิดเนตรปัญญา! เขายังพอมีหวังอันริบหลี่ ผู้สูงวัยคนนั้นมีบุญกุศลมากขนาดนั้น ดอกบัวบนหัวเปล่งแสงทองสว่างไสวราวกับดวงไฟกลางคืนมืด บางทีอาจจะหาอีกฝ่ายพบจากจุดนี้
สรุปคือฟางเจิ้งกวาดสายตามอง ก็เห็นว่าตรงศูนย์กลางฝ่ายฉุกเฉินมีแสงทองวูบไหว ฟางเจิ้งเดินไปทันที เด็กแดงเห็นดังนั้นจึงรีบตามไป ขนาดเด็กแดงยังไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่ที่เขาใช้อภินิหารกับฟางเจิ้งไม่ได้ รวมถึงคำพูดแบบคนธรรมดาที่ฟางเจิ้งบอกก่อนหน้านี้ มันทำให้เขาเริ่มเกิดความรู้สึกเห็นพ้องกับฟางเจิ้ง อย่างน้อยในสายตาเขา ฟางเจิ้งก็เป็นพวกดวงซวยเหมือนกับเขา…
ในโลกของคนแปลกหน้าทั้งหมดนี้ เด็กแดงย่อมยอมรับฟางเจิ้งมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
ฟางเจิ้งเองก็คาดไม่ถึงในจุดนี้ เพียงแค่ระบายความในใจง่ายๆ ครั้งเดียว กลับแลกมาเป็นผลเช่นนี้
หวงซิ่งหวานั่งอยู่บนม้านั่งนอกห้องฉุกเฉินด้วยความร้อนใจ นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็จะลุกขึ้นเดินไปเดินมาสองรอบ ยังคงไม่อาจสงบลง ยังมีอีกคนที่เป็นเช่นนี้ นั่นคือหวงเจิ้นหวาน้องชายหวงซิ่งหวา สองพี่น้องเดินไปๆ มาๆ หยิบมือถือออกมาแล้วยัดใส่กลับไป ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร
“พวกนายสองคนไม่เดินได้ไหม? เดินจนฉันเวียนหัวแล้วเนี่ย” เจี๋ยงหมิ่น ภรรยาของหวงซิ่งหวาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ไม่เดิน? ไม่เดินก็อึดอัดตายสิ เข้าไปนานขนาดนั้นแล้ว ทำไมยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย” หวงซิ่งหวาเอ่ยด้วยอาการร้อนรน
“คุณรีบนั่งลงเถอะ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีเอง อีกอย่าง คุณดูกล่องนี่ของพ่อให้ดีๆ เถอะ นี่น่ะของรักของเขา” เจี๋ยงหมิ่นว่า
หวงซิ่งหวามองตลับไม้สีแดงนั้นก่อนนั่งลงอีกรอบ กอดตลับไว้พลางมองแม่กุญแจด้านบน พึมพำว่า “พ่อทำเพื่อมันมาทั้งชีวิต แต่ตั้งแต่มาจากใต้ขึ้นเหนือก็ยังไม่สมหวัง เฮ้อ…”
หวงเจิ้นหวานั่งลงเช่นกัน “ช่วยไม่ได้นี่ เกิดเรื่องเยอะขนาดนั้น เวลาผ่านมานานมากแล้ว จะไปหาที่ไหนล่ะ ผมว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ถ้าพ่อไม่ไหวจริงๆ พวกเราเชิญนักแสดงมาสักสองสามคนไหม…”
“แสดง?” หวงซิ่งหวาอึ้งงัน
หวงเจิ้นหวาหน้าแดง “มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่ หรือว่าพี่อยากให้พ่อจากไปด้วยความเสียดาย? ถ้าเป็นแบบนี้ อย่างน้อยเขาก็สบายใจจากไปอย่างสงบ อย่างมากก็แค่พวกเราช่วยเขาหาต่อ…”
หวงซิ่งหวาเงียบ
หลิวน่าภรรยาหวงเจิ้นหวาพูด “ทำแบบนี้ ถ้าเกิดพ่อรู้ขึ้นมาจะทำยังไง? พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อจะหาใคร ชื่ออะไรยังไม่รู้เลย”
“พ่อสติเลอะเลือนแล้ว จะแยกแยะอะไรได้? ถูไถไปก่อนเถอะน่า” หวงเจิ้นหวากล่าว
หวงซิ่งหวาพูด “ไม่ได้จริงๆ ค่อยว่ากันอีกที…”
“หืม? นั่นมันหลวงจีนก่อนหน้านี้นี่? ทำไมเขามาที่นี่?” เจี๋ยงหมิ่นภรรยาหวงซิ่งหวาเอ่ยขึ้นในทันใด
หวงเจิ้นหวาได้ยินดังนั้นพลันโกรธ ตนไม่มีที่ระบายความโกรธในท้องอยู่ หลวงจีนสร้างปัญหานี่มาอีกแล้ว เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร? ขณะจะพูดบางอย่าง หวงซิ่งหวาเอ่ยขึ้น “น้อง อย่าใจร้อน ตอนนี้รักษาพ่อสำคัญกว่า ขอแค่เขาไม่มาวุ่นวายอีกก็ปล่อยไปเถอะ”
หลิวน่าเสริม “ใช่ ดูจากนิสัยเสียของคุณแล้ว อายุก็เยอะแล้วยังทำตัวน่าเอือมระอา”
หวงเจิ้นหวาทำเสียงหึๆ สองที ไม่ได้พูดอะไร แต่กล่าวในใจว่า ‘ถ้าหลวงจีนนี่มาก่อความวุ่นวายอีก ก็คงต้องจัดการเขา’
ระหว่างพูดอยู่นี้ หลายคนเห็นหลวงจีนจีวรขาวนั่งตรงข้ามพวกเขา เด็กน้อยน่ารักมากราวกับรูปปั้นหยกนั่งข้างๆ ขณะเดียวกันคนพวกนี้เพิ่งได้พิจารณามองฟางเจิ้งเป็นครั้งแรก นี่คือเณรที่หน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวสะอาด ใบหน้ามีเมตตา ดวงตาสองข้างใสสะอาดอย่างยิ่งประหนึ่งน้ำทะเลสาบในฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีสิ่งปนเปื้อนใดๆ ทั่วร่างเปล่งออร่าราวกับแสงตะวัน ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นมาก
เห็นถึงตรงนี้ในใจสี่คนอดนึกสงสัยมิได้ ดูจากภายนอกแล้วเป็นคนดี ไม่เหมือนคนที่มาก่อความวุ่นวาย
ในที่สุดด้วยความที่ผู้หญิงมีความอยากรู้อยากเห็นมาก หลิวน่าอดใจไม่ไหวเอ่ยถาม “หลวงพี่น้อยคะ ทำไมพวกท่านถึงมาที่นี่?”
ฟางเจิ้งกำลังกลัดกลุ้มอยู่เลยว่าจะพูดกับครอบครัวนี้อย่างไร พอเห็นหลิวน่าถามจึงประนมสองมือ “อมิตาพุทธ อาตมาตามพวกโยมมา”
“ทำไม? แกยังก่อความวุ่นวายไม่พออีกรึไง?” หวงเจิ้นหวาพูดอย่างไม่สบอารมณ์
หลิวน่าดึงหวงเจิ้นหวาไว้ “ทำไมคุณพูดอย่างนี้?”
หลวงเจิ้นหวาแค่นเสียงขึ้นจมูกสองที ยืนขึ้นพูด “พวกคุณคุยไปแล้วกัน ผมจะออกไปเดินเล่นหน่อย” พูดจบก็ก้าวเท้ายาวออกไปราวกับดาวตก เห็นได้ว่าความโกรธไม่ได้เล็งไปที่ฟางเจิ้งจริงๆ ที่มากกว่านั้นคือความกังวล ต้องรีบระบายความกังวลและกระวนกระวายใจ
หลิวน่าถามด้วยความเก้อเขิน “หลวงพี่น้อยอย่าโกรธเลยนะคะ เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี เอ่อ…ท่านตามพวกเรามาทำไมคะ?”
หวงซิ่งหวากังวลเช่นกัน “หลวงพี่น้อย พวกเราเหมือนจะไม่รู้จักกันนี่? ท่านตามพวกเรามาอย่างไม่มีเหตุผล มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
ฟางเจิ้งมองไปในห้องผ่าตัด “อาตมาไม่รู้จักกับพวกโยมจริงๆ แต่คนชราในห้องผ่าตัดเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ”
ใครบ้างไม่อยากฟังคำพูดดีๆ หวงซิ่งหวา หลิวน่าและเจี๋ยงหมิ่นสามคนมีสีหน้าดีขึ้นไม่น้อย หวงซิ่งหวากล่าว “พ่อผมเป็นคนดีจริงๆ แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่หลวงพี่ตามมา?”
เจี๋ยงหมิ่นพลันนึกอะไรออกจึงเอ่ยปากทันที “พวกเราไม่เชื่อพุทธ ไม่ซื้อยันต์คุ้มครองอะไรหรอกนะคะ…”
…………………………