The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 305 ส่งเข้าไปเถอะ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 305 ส่งเข้าไปเถอะ
ฟางเจิ้งตะลึงงัน ไม่อยากเชื่อว่าจะถูกมองว่าเป็นหลวงจีนปลอม เลยยิ้มน้อยๆ “อมิตาพุทธ อาตมาไม่ได้มาขายของ”
“แล้วมาทำอะไรคะ?” หลิวน่าถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกโยม ประสกท่านนั้นข้างในมีความปรารถนาอะไรที่ยังไม่สมหวัง?”
หลายคนนี้ต่างอึ้งไปครู่หนึ่ง เจี๋ยงหมิ่นถามโดยจิตใต้สำนึก “หลวงพี่น้อย ท่านรู้ได้ยังไงคะ?”
หวงซิ่งหวากอดกล่องในอ้อมอกไว้แน่นตามจิตใต้สำนึก ก่อนพูดด้วยความระแวง “ท่านเห็นพ่อผมกอดกล่องไว้เลยสงสัยจากตรงนี้ใช่ไหม?” หวงซิ่งหวาไม่ใช่คนโง่ มองจากเรื่องราวก่อนหน้า ใครก็รู้ว่าคนชราผู้นี้มีความปรารถนาที่ยังไม่สมหวัง มีเรื่องที่วางไม่ลงอยู่บ้าง เขามองฟางเจิ้งเป็นคนต้มตุ๋นพเนจรแล้ว เพียงแต่วิชาต้มตุ๋นนี้อาจจะเด็กน้อยเกินไปหน่อย
ฟางเจิ้งไม่ได้ปิดบังอะไรเช่นกัน ตัวตรงไม่กลัวเงาเฉียง อะไรเป็นอะไรก็ว่าไปตามนั้น เขาจึงพยักหน้าอย่างสง่าผ่าเผย “เป็นแบบนั้นจริงๆ”
หวงซิ่งหวาตะลึงงัน หลวงจีนนี่ไม่มีการแก้ตัว? เขาอยากรู้แล้วว่าหลวงจีนนี่จะพูดอะไรต่อ ไม่ว่าอย่างไร ถ้าจะเอาเงินเขาจะไล่หลวงจีนนี่ไปทันที ฉะนั้นหวงซิ่งหวาจึงเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่จะช่วยให้พ่อผมสมหวังเหรอ?”
ฟางเจิ้งตอบ “ถ้าเป็นไปได้ อาตมายินดีมาก แต่ว่าตอนนี้…”
พูดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งพลันขมวดคิ้วขึ้น
“หลวงพี่พูดมาเลย? ตอนนี้ทำไม?” หลิวน่าซักถาม
ฟางเจิ้งกล่าว “พวกโยม ถ้าเป็นไปได้ช่วยส่งกล่องนี่เข้าไปในห้องผ่าตัดอย่างด่วนเลยได้ไหม ถ้าไม่มีกล่องนี่การผ่าตัดจะอันตราย” ฟางเจิ้งไม่ได้เจตนาพูดให้กลัว เขาเปิดเนตรปัญญาตลอด พลันพบว่าแสงทองในห้องผ่าตัดเริ่มอ่อนแสงลง นี่หมายความว่าชีวิตของผู้สูงวัยคนนั้นเริ่มไหลหายไปแล้ว! ทว่าแสงทองนั่นกลับสว่างไสวมาทางกล่องนี้อย่างยิ่ง คล้ายๆ กับลูกศร เห็นได้ชัดว่ากำลังชี้ให้ฟางเจิ้งเห็นว่ากล่องนี่คือจุดสำคัญ!
“แกพูดอะไร? อันตรายอะไร?” หวงเจิ้นหวาได้ยินประโยคนี้จากข้างนอกพอดี พลันโกรธใหญ่ วิ่งเข้ามาพร้อมกับความโมโห
หลิวน่ารีบขวางหวงเจิ้นหวาไว้ แต่ก็มีสีหน้าย่ำแย่เช่นกัน “หลวงพี่คะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็รีบไปเถอะค่ะ พวกเราไม่ต้อนรับท่าน”
เป็นใครก็ตาม คนในครอบครัวกำลังผ่าตัดอยู่ข้างใน แต่คนข้างนอกกลับปากอัปมงคล ย่อมไม่สบายใจ
หวงซิ่งหวากับเจี๋ยงหมิ่นมีสีหน้าย่ำแย่มากไม่ต่างกัน
ฟางเจิ้งถอนหายใจ รู้ว่าตนพูดเกินไปหน่อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร เพียงยืนขึ้นเตรียมจะไป ตอนนี้เองประตูห้องผ่าตัดเปิดออก พยาบาลคนหนึ่งรีบวิ่งออกมา
“พยาบาล พ่อเป็นยังไงบ้าง?” สี่คนปรี่เข้าไปทันที ขวางพยาบาลไว้
พยาบาลพูดด้วยความร้อนใจ “นี่ พวกคุณอย่าเพิ่งถาม ฉันมีเรื่องด่วน อาการคุณตาอันตรายมาก ฉันจะไปเอายา!”
สี่คนได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนรีบหลีกทางให้ พยาบาลรีบวิ่งไป ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น ดึงเด็กแดงออกไปข้างนอก เด็กแดงพูดเสียงเบา “อาจารย์ จะไปแบบนี้รึ? ไหนท่านบอกว่าจะช่วยคน? ยอมแพ้แล้วรึ?” ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เด็กแดงไม่เคยกลัวฟ้ากลัวดิน และยิ่งไม่ชอบการยอมแพ้ ตอนนี้จะไปแบบนี้ก็รู้สึกอึดอัดใจ ถึงฟางเจิ้งเป็นคนที่เสียหน้า แต่ดีชั่วอย่างไรพวกเขาก็มาด้วยกัน จึงเกิดความรู้สึกโกรธร่วมกันด้วย
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “สิบ…เก้า…แปด”
“เอ่อ อาจารย์ ท่านผิดปกติอะไรรึเปล่า?” เด็กแดงไม่เข้าใจ อาจารย์โง่คนนี้เดินไปพลางคำนวณเวลาไปพลางหมายความว่าอย่างไรกัน?
หวงซิ่งหวา เจี๋ยงหมิ่น หวงเจิ้นหวาและหลิวน่าสี่คนข้างหลังได้ยินคำพูดพยาบาลแล้วก็เห็นฟางเจิ้งเดินไป ในใจสั่นไหว คำพูดฟางเจิ้งก่อนหน้านี้ตรงกับคำพูดพยาบาล สี่คนมองตากัน
หวงซิ่งหวาเรียกไว้ตามจิตใต้สำนึก “เดี๋ยวก่อนหลวงพี่!”
และขณะนี้เองฟางเจิ้งเพิ่งนับถึงหก!
เด็กแดงตะลึง ก่อนแอบยกนิ้วโป้งให้ฟางเจิ้ง ยอมแล้ว!
ฟางเจิ้งหันกลับไปถามด้วยสีหน้าโอนอ่อน “ประสก มีเรื่องอะไรหรือ?”
“หลวงพี่ ท่านรู้ได้ยังไงว่าพ่อผม…เอ่อ…เป็นอย่างนั้นน่ะ?” ตอนนี้อธิบายยาก มักจะรู้สึกถึงเคราะห์ร้าย หวงซิ่งหวาเลยใช้คำว่าอย่างนั้นแทน
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาย่อมรู้ หัวใจพ่อประสกอยู่ที่กล่องนี่ กล่องไม่อยู่ หัวใจไม่สงบ ย่อมรักษายาก ส่งกล่องเข้าไป ให้เขาเห็น เขาจะวางใจ เขาจะอยากมีชีวิตอยู่ต่อมากขึ้นเพื่อความยึดมั่นในใจ”
ฟางเจิ้งไม่ได้เอ่ยถึงพระธรรมลึกล้ำเหล่านั้น แต่ใช้หลักการง่ายๆ อธิบาย
พวกหวงซิ่งหวากับหวงเจิ้นหวาไม่ใช่คนโง่ ถ้าพูดแบบนี้แล้วยังไม่เข้าใจ ก็คงเป็นคนโง่จริงๆ แล้ว
ตอนนี้เองพยาบาลรีบวิ่งเข้ามา หวงซิ่งหวารีบขวางพยาบาลไว้ ให้พยาบาลเอากล่องนั้นเข้าไปให้พ่อตนดู
พยาบาลโมโหขึ้นมาในฉับพลัน “พวกคุณจะมาสร้างปัญหาอะไรเอาตอนนี้อีก?”
หวงซิ่งหวารู้สึกลำบากนิดๆ ถึงอย่างไรก็พูดเรื่องนี้ยาก อธิบายยาก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ทันใดนั้นเองฟางเจิ้งตรงเข้ามา “หัวใจมีชีวิต คนถึงมีชีวิตต่อได้ นี่คือความยึดมั่นทั้งชีวิตเขา ถ้าไม่ให้เขาเห็น วิชาการแพทย์สูงส่งกว่านี้ก็ช่วยไม่ได้”
“หลวงจีนนี่มาพูดมาไร้สาระอะไรกัน?” พยาบาลถลึงตามองฟางเจิ้งด้วยความไม่พอใจ มองปราดเดียวพยาบาลพบว่าหลวงจีนรูปนี้หล่อมาก…อย่างน้อยในด้านเอกลักษณ์เฉพาะก็ต่างกับวัยรุ่นเหล่านั้นที่เธอรู้จักอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดความรู้สึกดวงตาเปล่งประกาย
ทว่าความคิดนี้เพียงวูบผ่าน ขณะนี้เองพยาบาลอีกคนเดินออกมาพูด “อวี๋เฟย อืดอาดอะไรอยู่ได้?”
อวี๋เฟยได้สติกลับมาทันที หมุนตัวกลับเดินไป หวงซิ่งหวาจะพูดบางอย่าง แต่เห็นว่าอวี๋เฟยหยิบกล่องในมือเขาไปด้วย เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก
อวี๋เฟยนำของมาที่หน้าประตู ก่อนหยิบถุงมาบรรจุกล่องนี้ไว้ กันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปด้วย
เห็นพยาบาลเอากล่องไปแล้ว หวงซิ่งหวาถึงรู้ว่าตนทึ่มทื่อไปหน่อย นั่นคือที่ใด? ห้องผ่าตัด? ข้างนอกเป็นใคร? หลวงจีนที่ไม่รู้วิชาการแพทย์ เขาดันฟังคำพูดด้านเดียวของหลวงจีนนี่ นี่มัน…วันอะไรกันวะเนี่ย ทว่าสำนึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว จะแค้นหลวงจีนนั่นก็แค้นไม่ลง อีกฝ่ายเพียงแค่ออกความเห็น ไม่ได้บังคับให้เขาทำแบบนั้น สิทธิ์การเลือกสุดท้ายอยู่ในมือเขา
หลวงซิ่งหวาสำนึกเสียใจ หวงเจิ้นหวา หลิวน่าและเจี๋ยงหมิ่นไม่ต่างกัน คิดแต่เรื่องได้รับหรือสูญเสีย ทุกคนต่างกังวลใจ
กลับกันฟางเจิ้งนั่งอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เพียงแต่ว่าจะมองห้องผ่าตัดตลอด เขาไม่มีวิชาแพทย์และฟื้นชีพคนตายไม่ได้ แต่เขาเชื่อระบบ ในเมื่อประตูไร้ลักษณ์ส่งเขามา นั่นอธิบายได้ว่าเขายังมีโอกาสช่วยคนชราผู้นี้ให้สมหวัง ไม่อย่างนั้นจะส่งมาทำไม? หยอกเล่นหรือ? อีกอย่างบุญกุศลมากขนาดนี้ ถ้าไม่เจอฟางเจิ้งก็ช่าง แต่เจอแล้วนี่คือโอกาสของเขา โอกาสมาแล้วก็ไม่มีเหตุผลจะต้องตัดทิ้ง
ภายในห้องผ่าตัด อวี๋เฟยนำกล่องเข้าไปใกล้เตียงผ่าตัด พยาบาลอีกคนรับยาที่เธอไปหยิบมาไป อีกฝ่ายรีบหยิบจึงไม่สังเกตเห็นกล่องในมืออีกข้างของอวี๋เฟย เมื่อเตรียมเสร็จแล้วจึงส่งไปในมือหมอที่กำลังรวบรวมสมาธิผ่าตัดอยู่
…………………….