The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 311 แห้งแล้ว
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 311 แห้งแล้ว
“รับตอนนี้เลยไหม?” ระบบถาม
“รอเดี๋ยวเถอะ” คนเยอะขนาดนี้ คงไม่ดีแน่ถ้าฟางเจิ้งจะเสกคัมภีร์ออกมาจากอากาศ
เห็นฟางเจิ้งเดินออกมาจากในห้องผู้ป่วย หวงซิ่งหวากับหวงเจิ้นหวาอึ้งงัน พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าฟางเจิ้งยืนทำอะไรอยู่ในห้องผู้ป่วยกันแน่ ยืนตั้งแต่เริ่มจนจบ…ป่วยรึเปล่า?
ฟางเจิ้งประนมสองมือให้สี่คน “อมิตาพุทธ พวกโยม อาตมาขอตัวก่อน”
หวงเจิ้นหวาหวังจะไล่เจ้านี่ที่ทำตัวลึกลับไปเร็วๆ อยู่แล้ว หวงซิ่งหวาไม่ต่างกัน พูดคุยอย่างสุภาพเชิงเกรงใจกันสองประโยคแล้ว ฟางเจิ้งถึงพาเด็กแดงจากไป
กลับถึงวัดเอกดรรชนีก็หลังเที่ยงคืนแล้ว แต่คืนนี้ หมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอกนอนไม่หลับ ต่างนั่งอยู่ในลาน เงยหน้ามองหลังคาด้วยหน้าเศร้า!
เด็กแดงสวมตู้โตวเล็กบนหลังคาแหงนหน้ามองฟ้าพลางตะโกนร้องเพลง “จิ่วอีปา! จิ่วอีปา…”
“ศิษย์น้องสี่เป็นบ้ารึเปล่า?”
“อาจจะ”
“ศิษย์น้องสี่โหดขนาดนั้น ออกไปกับอาจารย์ครั้งเดียวก็เป็นแบบนี้เลย พวกเราจะยังตามเขาออกไปไหม?”
“กังวลอยู่นิดๆ แล้วสิ…”
“ศิษย์น้องออกไปแล้วเราไม่ออกไป จะน่าขายหน้ารึเปล่า?”
“ก็ดีกว่าเป็นบ้าน่า…”
………..
แต่ฟางเจิ้งไม่สนใจเด็กแดงที่กำลังตะโกนโหวกเหวก ตอนนี้หลับเป็นหมูตายแล้ว ไม่อยู่วัด แถมยังพาคนมากขนาดนั้นเข้าฝันจึงกินพลังงานไม่ธรรมดา สมองหนักอึ้ง นอนบนเตียงได้ก็หลับทันที…ในความฝัน ฟางเจิ้งเหมือนได้ยินคนกำลังร้องเพลงบ้านของฉันอยู่ที่แม่น้ำซงฮวา และยังเห็นเฉินต้าซาน หลิวฟางฟาง…
วันที่สอง ฟางเจิ้งตื่นนอน เรื่องแรกก็คือ
“ระบบ คัมภีร์ฉันล่ะ? รีบส่งมา ฉันยังไม่เคยสัมผัสคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์เลย!” ฟางเจิ้งรีบพูด
ต่อมา คัมภีร์สีเหลืองหนาเล่มหนึ่งตกลงในมือฟางเจิ้ง เขาใช้มือชั่งน้ำหนักดูแล้วหนักมาก! ด้านบนใช้อักษรพุทธองค์มังกรเขียนอักษรใหญ่แบบฉวัดเฉวียนหลายตัว วัชรสูตร!
เพียงแค่สามอักษร แต่กลับแผ่ท่วงทำทองพุทธจางๆ มองปราดเดียวจิตใจจะสงบลงมาก เปิดอ่านช้าๆ กลิ่นหอมหนังสือจางๆ ลอยโชยออกมา ฟางเจิ้งสูดดมอย่างละโมบ เมื่อนานมาแล้ว เขาอยากจะมีคัมภีร์ของตัวเองมาตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็สมหวัง ในใจจึงเหลือเพียงคำว่า…ฟิน!
“ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เชตวนารามวิหารของท่านอณาถบิณฑิกเศรษฐีแขวงเมืองสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ 1,250 รูป ก็โดยสมัยนั้นแลเป็นกาลแห่งภัตต์ พระผู้มีพระภาคทรงครองจีวรทรงบาตร เสด็จจาริกไปบิณฑบาตในนครสาวัตถีโดยลำดับ ครั้นแล้วเสด็จกลับมายังเชตวนารามทรงกระทำภัตกิจเสร็จ เก็บบาตรขึ้น ชำระพระบาท ประทับนั่งสมาธิบัลลังก์…”
ฟางเจิ้งอ่านเงียบๆ อ่านทั้งเล่มจบหนึ่งรอบโดยไม่รู้ตัว จนเขาเงยหน้าขึ้นก็ได้ยินเสียงร้องจ๊อกๆ ไม่ขาดสาย ถึงวางพุทธคัมภีร์ลงอย่างอาลัย ก่อนบิดเอวขี้เกียจ ออกไปกินข้าว
นักบวชพ่อครัวคนแรกอย่างเด็กแดงทำมื้อเช้าแล้ว ลิงและกระรอกร่วมมือกันทำความสะอาดอุโบสถแล้ว ตอนนี้ลิงกำลังกวาดลานวัด
กินมื้อเช้าเสร็จ ฟางเจิ้งพบว่าตั้งแต่ที่ตนมีลูกศิษย์เหล่านี้ งานของตนก็น้อยลงเรื่อยๆ
ตอนนี้เองเด็กน้อยสวมตู้โตวสีแดงขยับวูบไหวผ่านข้างหน้าไป
ฟางเจิ้งพลันนึกอะไรออกจึงว่า “จิ้งซิน”
เด็กแดงกำลังแบกถังน้ำอยู่ หันมามองแล้วถาม “อาจารย์ มีอะไรรึ?”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ครั้งก่อนพวกเราเคยพูดกันเรื่องตัดผมไม่ใช่รึ?”
เด็กแดงได้ยินแบบนั้นก็วิ่งหนีไป พริบตาเดียวออกจากวัด ตะโกนอยู่ไกลลิบว่า “อาจารย์ ท่านจำผิดแล้ว ไม่มี ไม่มีสักหน่อย!”
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังเด็กแดงพลางส่ายหน้าอย่างจำใจ “เด็กคนนี้ ทำไมถึงห่วงหัวตัวเองแบบนี้? หัวโล้นไม่ดีหรือ? อย่างน้อยสระผมก็สะดวกสบาย!”
ฟางเจิ้งถือวัชรสูตรเดินเข้าไปในอุโบสถ นั่งอยู่ตรงหน้ามู่อวี๋ เคาะดังต๊อกๆ รวมสมาธิศึกษาวัชรสูตร ทุกครั้งที่อ่านหนึ่งรอบจะเกิดการตระหนัก รู้สึกเพียงว่าในใจว่างเปล่า สติปัญญาโลดแล่น รู้สึกสบายไปทั้งตัว
วันใหม่ ชีวิตฟางเจิ้งสบายขึ้นอีกครั้ง สวดมนต์ เล่นกับหมาป่า สบายอกสบายใจ ทว่าไม่นานก็ไม่สบายใจแล้ว…
“อาจารย์ สถานการณ์ไม่ค่อยจะดีแล้ว” เด็กแดงแบกถังเปล่ามาตรงหน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งถาม “ทำไมไม่มีน้ำ?”
เด็กแดงเงยหน้ามองฟ้า “ข้าก็ไม่รู้ เดาว่าคงไม่มีฝนตกมานานเกินไป ถึงอย่างไรตาน้ำพุก็ไม่มีน้ำผุดมาแล้ว จะทำอย่างไรดี?”
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วแน่น ตาน้ำพุกลางภูเขาเอกดรรชนีมีน้ำตลอดสี่ฤดูหนึ่งปี ผ่านมาหลายปีไม่เคยขาดมาก่อน ทำไมปีนี้ถึงไม่มีน้ำไปได้?
ฟางเจิ้งพูด “อาตมาจะไปดู”
พูดจบฟางเจิ้งรีบวิ่งไปกลางเขาอย่างรวดเร็ว ตาน้ำพุกลางเขาเอกดรรชนีคือต้นน้ำหลักของเขา ถ้าขาดไป นั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก จากนี้ถ้าคิดจะแบกน้ำอีกเกรงว่าต้องลงเขาไป…ทว่าที่ฟางเจิ้งกังวลจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ แต่กังวลว่าน้ำพุแห้งจะมาพร้อมกับสัญญาณอันตราย! เงยหน้ามองฟ้า ดวงตะวันลอยสูง พระอาทิตย์สูงขึ้นทุกวัน แสงตะวันโหดร้ายขึ้นทุกวัน ฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆ เมื่อก่อนไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกว่าชีวิตไม่ปกติเล็กน้อยขึ้นทุกวัน คำนวณเวลาแล้ว ไม่มีฝนตกมาเกือบเดือน!
ฟางเจิ้งตรงไปบ้านหวังโอ้วกุ้ย เข้าประตูไปก็ได้กลิ่นหอมของแตงโม
“ฟางเจิ้งมาทำไม? มาได้พอดีเลย รีบมากินแตงโมเร็ว!” หวังโอ้วกุ้ยเปลือยท่อนบน นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา บนโต๊ะมีแตงโมวางไว้จานหนึ่ง ตรงข้ามเป็นถานจวี่กั๋วนั่งอยู่ ถานจวี่กั๋วเอาขาข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เตียงเตา ในมือถือถ้วยสูบบุหรี่แบบยาว กำลังสูบทำปากขมุบขมิบ หยางหวานั่งใกล้หน้าต่าง นอนพาดอยู่บนโต๊ะ กำลังเขียนบางอย่าง ข้างๆ ยังมีเครื่องคิดเลขตัวหนึ่ง
ฟางเจิ้งเข้ามา ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้นมองมาแล้วเอ่ยทักทาย
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ พวกโยม ครั้งนี้อาตมามีธุระ”
“กินแตงโมก็ไม่เห็นจะเสียเรื่องอะไรเลย รีบนั่งลงเถอะ” ถานจวี่กั๋วกล่าว
ฟางเจิ้งไม่เกรงใจแล้ว ขึ้นไปบนเตียงเตา นั่งลงใกล้กับหยางผิง
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง บนเขาเกิดอะไรรึเปล่า?” หยางผิงถามด้วยความแปลกใจ
“เฮ้อ น้ำพุบนเขาเอกดรรชนีของอาตมาแห้งแล้ว” ฟางเจิ้งตอบด้วยความกลัดกลุ้ม
“อะไรนะ?!” ถานจวี่กั๋วร้องตกใจ ตบถ้วยยาสูบยาวในมือกับโต๊ะ
หวังโอ้วกุ้ยถามอย่างจริงจังเช่นกัน “จริงเหรอ? ตั้งแต่ตอนไหน?”
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาไม่รู้เวลาโดยละเอียด วันนี้ลงเขาไปตักน้ำถึงรู้ พวกโยม ทำไมถึงดูจริงจังนักล่ะ?”
หวังโอ้วกุ้ยยิ้มแห้ง “เร็วๆ นี้เครื่องสูบน้ำหลายตัวสูบน้ำไม่ขึ้น…ตอนแรกคิดว่าเรื่องเล็ก ไม่นึกเลยว่าน้ำพุเอกดรรชนีที่มีน้ำตลอดทั้งปีจะแห้ง ดูท่าคงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว”
ฟางเจิ้งตะลึงงัน “เครื่องสูบน้ำก็สูบไม่ขึ้น?”
“อืม เพิ่งเริ่มเมื่อวาน ตอนแรกมีปั๊มน้ำบ้านซ่งเอ้อโก่วที่สูบน้ำไม่ขึ้น ช่วงแรกยังคิดว่าเครื่องเสีย ขยับแก้อยู่นานเลย จากนั้นบ้านซุนเฉียนเฉิงก็สูบไม่ขึ้น…แล้วที่ดินบ้านเฉินจินที่ซุนเฉียนเฉิงรับเหมาอยู่ก็สูบน้ำไม่ขึ้นเหมือนกัน วันนี้หนักกว่าเดิม หลายบ้านสูบน้ำไม่ขึ้น ฉันเดานะ พวกเราคงจะสูบน้ำบาดาลจนแห้งหมดแล้ว” หวังโอ้วกุ้ยขมวดคิ้วแน่น เอ่ยตอบด้วยความทุกข์ใจ
…………………….