The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 32
ตอนที่ 32 หนึ่งคนหนึ่งชาม
พูดจบพวกเขาต่างโล่งอก พั่งจื่อพูดพึมพำ “แล้วมันไม่เหมือนกันเหรอ? หลวงจีนก็เสแสร้ง”
“พั่งจื่อ!” เจียงถิงตะโกนด้วยความโกรธ พั่งจื่อจึงหุบปากไปทันที
ฟางเจิ้งทำเหมือนไม่ได้ยิน ตบหัวหมาป่าพลางว่าต่อ “เอาล่ะ นายกำลังทำให้คนกลัวนะ ออกไปเล่นเถอะ แล้วค่อยกลับมาตอนกินข้าว”
หมาป่าเดียวดายส่ายหน้าแล้วเดินไปยังประตูทางเข้า ห้าคนรีบหลีกทางให้ มันไม่มองแม้แต่หางตา เชิดอกเดินผ่านไป เพียงแต่ว่าตอนที่เดินผ่านพั่งจื่อ มันแยกเขี้ยวงับเข้าที่ก้นทีหนึ่ง ทำเอาพั่งจื่อตกใจจนกระโดดร้องเสียงหลง
ฟางเจิ้งต่อว่า “อย่าก่อเรื่อง!”
หมาป่าเดียวดายจึงวิ่งไป
หมาป่าเดียวดายไปแล้ว คนอื่นๆ ต่างมองพั่งจื่อที่หนีไปตรงสันกำแพงด้วยสภาพย่ำแย่ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่พั่งจื่อกลับร้องไห้จริงๆ การงับเมื่อครู่นี้น่าตกใจมาก! ตอนที่กระโดดลงมายังลูบไปที่กางเกง ไม่เปียก! ถึงถอนหายใจโล่งอก แต่ในใจกลับด่าทอหมาป่าเดียวดายกับฟางเจิ้ง
“พวกโยมกลับมาอีกทำไม?” ฟางเจิ้งถามอีกครั้ง
โหวจื่อยิ้มแห้ง “พูดจริงๆ คือพวกเราแปลกใจเลยกลับมา ผมเคยเห็นคนเลี้ยง หมาป่ามาก่อน แต่ไม่เคยเห็นว่ามีใครทำให้หมาป่าเชื่องได้ ไต้ซือ ทำไมรอยฝ่ามือบนประตูเหล็กนั่นถึงหายไป? ท่านกดมันกลับไปหรือ?”
ฟางเจิ้งยังคงยิ้มแต่ไม่ตอบ
โหวจื่อมีสีหน้าขมขื่น “ไต้ซือ ท่านพูดให้ชัดไม่ได้หรือครับ?”
“พูดให้ชัดอะไร? พวกโยมไม่เชื่อคำพูดอาตมารึ?” ฟางเจิ้งถาม
โหวจื่อพยักหน้า ตอนแรกหลูเสียวอ่าส่ายหน้า แต่เห็นโหวจื่อพยักหน้าจึงพยักตามทันที พั่งจื่อกับหร่วนอิ่งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ส่วนเจียงถิงมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้า “ในเมื่อพวกโยมไม่เชื่อกันทุกคน อาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูด พวกโยม หลังวัดไม่ต้อนรับแขกนะ หากจะเยี่ยมชม จุดธูปไหว้พระ เชิญไปข้างหน้าวัด…”
ฟางเจิ้งไล่ตรงๆ ไม่ไล่ไม่ได้แล้ว เขาก็หิวเหมือนกัน! คนพวกนี้ไม่ไปแล้วเขาจะกินข้าวยังไง! หรือว่าจะให้คนพวกนี้เบิกตากว้างมองเขากินข้าว? ใครจะไปกินลงกัน!
เห็นฟางเจิ้งไล่ โหวจื่อก็ร้อนรน “ไต้ซือ ท่านอย่ารีบร้อนสิ พูดจริงๆ นะ ชีวิตนี้ผมไม่สนใจอะไรนอกจากวิทยายุทธชั้นยอด แต่เรียนมาหลายสำนักแล้วก็ไม่มีความสามารถแท้จริง ไต้ซือเป็นคนมีความสามารถแท้จริง สอนผมสักสองสามกระบวนท่าได้ไหม”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “อาตมาไม่มีวิทยายุทธ อาตมาแค่เรียนกระบวนท่าฝึกฝนร่างกายเล็กน้อยเท่านั้น พวกโยม เชิญไปได้แล้ว” แต่กลับคิดในใจ ‘เวร มาขอเรียนวิชานี่เอง ไม่มีของขวัญก็ไม่เป็นไร แต่แกควรจะจุดธูปสักดอกนึงสิ! อะไรก็ไม่เอา ยังคิดจะเรียนอีก? ฝันไปเถอะ!’
โหวจื่อยังอยากพูดบางอย่าง แต่เห็นสีหน้าจริงจังของฟางเจิ้งแล้วก็กลืนลงไป
ตอนนี้เองหร่วนอิ่งถามขึ้นเบาๆ “ไต้ซือ ท่านมีข้าวไหม? ฉันหิวจะแย่แล้ว”
พูดจบพั่งจื่อก็มีแรงฮึดขึ้นมาทันที “ใช่ๆๆ ไต้ซือ ในวัดมีอะไรหอมๆ รึเปล่า? คุณพั่งหิวจะแย่แล้ว หิวจริงๆ…”
หลูเสียวอ่ามองโหวจื่อ จากนั้นพูดเบาๆ “ไต้ซือ พวกเรารีบมาจากในเมืองแต่เช้า ระหว่างทางไม่ได้กินข้าวเช้ามา แถมยังปีนเขาอีกอะไรอีก นี่ก็กลางวันแล้วฉันหิวจริงๆ จะลงเขาตอนนี้ก็น่าจะไม่มีแรง ท่านมีอะไรกินไหมคะ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “อมิตพุทธ อาตมาบอกไปแล้วว่าวัดเอกดรรชนีเป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลแขก หากพวกโยมหิวจริงๆ ก็รีบลงเขาไปดีกว่า”
พูดจบฟางเจิ้งก็เริ่มไล่ เดิมทีข้าวเขาก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว การจะผ่านฤดูหนาวต้องรัดเข็มขัดให้แน่น แค่ระบบเขาก็ผ่านไปไม่ได้แล้ว กฏคือกฏ เป็นคนละความหมายกับเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย คนพวกนี้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่กินสักมื้อคงไม่หิวตาย
ฟางเจิ้งไล่พวกเขาอย่างเด็ดเดี่ยว พวกเขาเองก็ไม่อยากมีปัญหากับฟางเจิ้งจึงได้แต่ถอย
ขณะกำลังจะถูกไล่ออกไป เจียงถิงปิ๊งไอเดียขึ้นมา “ไต้ซือ ไม่ดูแลเรื่องอาหาร แล้วน้ำดื่มล่ะคะ?”
พั่งจื่อได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเปล่งประกาย “ใช่ๆๆ! ไต้ซือ ตอนเช้าพวกเราไม่ได้กินน้ำเลย น้ำแร่ที่เอามาด้วยก็ดื่มหมดแล้ว ไม่ให้ข้าวก็ให้กินน้ำแก้กระหายรองท้องได้หรือเปล่า? กินน้ำอิ่มแล้วก็จะได้ลงเขาได้”
ฟางเจิ้งอึ้งไป ระบบบอกแค่ว่าไม่ดูแลเรื่องอาหาร แต่ไม่ได้บอกเรื่องห้ามไม่ให้น้ำจริงๆ
“ระบบ ได้รึเปล่า?” ฟางเจิ้งถาม
“ได้” ระบบตอบกลับแบบสบายๆ
ฟางเจิ้งเลยพูดขึ้น “อมิตพุทธ ถ้าแค่ดื่มน้ำก็ย่อมได้ พวกโยมนั่งตามสบาย อาตมาจะไปเอาน้ำมาให้”
“ไต้ซือ ในวัดมีบ่อน้ำไม่ใช่หรือคะ? น้ำในบ่อเป็นของดี หาดื่มในเมืองไม่ได้แล้ว” เจียงถิงมองบ่อน้ำในลาน
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “แห้งแล้ว ในนั้นไม่มีน้ำ ถ้าจะดื่มก็ต้องไปตักที่น้ำพุเอกดรรชนีกลางเขา”
“น่าเสียดายจริงๆ ตอนนี้มีสิ่งปนเปื้อนเยอะ จะดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำพุภูเขาในเมืองก็ยากมาก น้ำบาดาลยิ่งไม่มีหวัง” เจียงถิงถอนหานใจ
ฟางเจิ้งไม่ได้แปลกตากับโลกภายนอก เขาพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความชื่นชม ก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปในครัว ตักน้ำชามใหญ่ออกมา
แต่ข้างนอก ห้าคนกำลังล้อมรอบบ่อน้ำพลางถอนหายใจไม่หยุด
โหวจื่อว่า “ที่บ้านเกิดฉันทุกคนตักน้ำในบ่อกันทั้งนั้น ตอนนี้มาเป็นบ่อน้ำเครื่องจักรแล้ว ถึงจะเป็นน้ำบาดาลเหมือนกัน แต่รสชาติไม่ถูกปากเลย”
“ใช่ ตอนนี้จะดื่มน้ำสะอาดดีๆ สักคำนึงยังยากเลย” เจียงถิงพูด
พั่งจื่อยิ้มเฝื่อน “อย่าพูดสิ ตอนนี้ฉันใกล้จะขาดน้ำอยู่แล้ว ทั้งหิวน้ำหิวข้าว ฉันไม่ควรมา…”
“พวกโยม น้ำมาแล้ว ใครจะดื่มก่อน?” ฟางเจิ้งถาม
พั่งจื่อรีบตอบกลับ “ฉัน!”
ถึงฟางเจิ้งจะไม่อยากดูแลพั่งจื่อ แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้เหมือนจะแย่งกับพั่งจื่อ เลยส่งให้พั่งจื่อไป
พั่งจื่อรับมาแล้วไม่มอง แต่ยกซดในฉับพลัน น้ำเข้าไปในปากดังอึกๆ ดวงตาเขาพลันเบิกโต! ดวงตาแคบในตอนแรกกว้างขึ้นไม่น้อย!
“พั่งจื่อ นายเป็นอะไร?” หร่วนอิ่งที่เข้าใจพั่งจื่อมากที่สุดถาม
พั่งจื่อไม่ตอบ แต่กินน้ำสุดชีวิต ครู่เดียวดื่มน้ำชามใหญ่จนหมด ทว่าพั่งจื่อยังไม่หยุดดื่ม เขาแลบลิ้นยาวเลียไม่หยุดดั่งปีศาจ
โหวจื่อทนมองไม่ได้จริงๆ จึงแย่งชามมา “พอแล้ว อย่าทำให้ขายหน้าสิ กินยังกับ ผี ชีวิตนี้ไม่เคยกินน้ำรึไง?”
“เอามาให้ฉัน! นายจะเข้าใจอะไร เณร…” พั่งจื่อเพิ่งกล่าวก็ต้องรีบเปลี่ยนคำ “ไต้ซือ ไต้ซือ ผมยังไม่หายหิวเลย ให้ผมอีกชามเถอะ?”
ฟางเจิ้งมองพั่งจื่อแวบหนึ่ง “หนึ่งคนหนึ่งชาม ไม่มีเกินกว่านี้”
“ไต้ซือ ท่านอย่าทำแบบนี้ได้ไหม? หนึ่งคนหนึ่งชามเหรอ? มันจะไปพอได้ยังไง? ท่านกำลังจะฆ่าผมนะ! เอามาให้ผมอีกชาม ขอร้องล่ะ” พั่งจื่อในตอนนี้ไม่มีการวาง มาดข่มอย่างก่อนหน้าอีก แต่ป้องมือคารวะ ดวงตาเป็นประกาย ทำหน้าอ้อนวอน