The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 320 บันไดฟ้า
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 320 บันไดฟ้า
ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้าพลางตะโกนในใจ ‘บินน้องเขยแกสิ!’
เด็กแดงเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะเบาๆ ในที่สุดไอ้สารเลวหัวโล้นก็ได้สัมผัสกับพลานุภาพของสาวปืนกล! ฟิน! แต่ว่า…
“เจ้าตัวน้อย นายหัวเราะอะไร? มา ไหนทบทวนสิ่งที่พี่สาวบอกเมื่อวานหน่อย” เหยาอวี่ซินอุ้มเด็กแดงขึ้นมา ถามพลางหัวเราะเบาๆ
เด็กแดงคว้าจีวรฟางเจิ้งไว้ในฉับพลัน ร้องขึ้น “อาจารย์ ข้านึกออกแล้ว ท่านจะสวดมนต์ให้ข้าฟังไม่ใช่รึ?” ระหว่างพูดอยู่นี้ ดวงตาโตคลุมด้วยน้ำตา แทบจะร้องไห้เดี๋ยวนั้น
ฟางเจิ้งเห็นท่าทีเด็กแดงแล้วก็ถอนหายใจ “ศิษย์ ในเมื่อสีกาชอบนายขนาดนี้ ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนสีกาเถอะ”
ช่วยไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้พูดมากเกินไป ไม่หานักโทษร่วมด้วยอาจจะยังต้องคุยกับเธอเรื่องวิทยายุทธ์ เหมือนอย่างที่ว่าไว้ว่าสหายตายได้แต่อาตมาตายไม่ได้ ไต้ซือขายสหายร่วมเดินทางอย่างเด็ดขาด
เด็กแดงอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา…
เฮ่อหมิงเห็นแบบนั้นกลับหัวเราะเสียงดัง “อวี่ซิน เธอให้อภัยหลวงจีนน้อยเถอะ เธอมันพูดมากเกินไป”
เหยาอวี่ซินเบะปาก เอ่ยอย่างคับอกคับใจ “อะไรเรียกว่าพูดมากเกินไป? อย่างฉันเขาเรียกว่าร่าเริง…น่ารัก!”
“บ๊องด้วย” อาจารย์วัยรุ่นสอนเต้นที่เต้นเมื่อวานพลันเสริมมาคำหนึ่ง
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศอึดอัดใจผ่อนคลายตามลงไปด้วย การเข็นรถก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นแล้ว
“ทุกคนระวัง รถม้าผ่านข้างหน้าไม่ได้ ถึงเวลาที่ทุกคนต้องปีนบันไดฟ้าแล้ว ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยไว้” ผู้ใหญ่บ้านเหลยพูด
“บันไดฟ้า?” ฟางเจิ้งงุนงง นั่นคืออะไร?
พอมาถึงที่ ในที่สุดฟางเจิ้งก็รู้ว่าบันไดฟ้าที่ว่าคืออะไร บนผนังหน้าผาสูงชันมีท่อนไม้ตอกติดกับผนังไว้ ยาวไปถึงใต้หน้าผาราวกับบันได บนล่างภูเขานอกจากบันไดฟ้าที่รวมจากท่อนไม้แล้ว ไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ เลย ไปๆ กลับๆ ฟางเจิ้งพลันพบว่าเส้นทางภูเขาของภูเขาเอกดรรชนีก่อนหน้านี้ยอดเยี่ยมแล้วจริงๆ!
“อาจารย์…เหตุใดคนข้างในถึงไม่ย้ายออกมา?” เด็กแดงก้มหน้ามองข้างล่างพลางถาม
ฟางเจิ้งเองก็อยากรู้นิดๆ เหมือนกัน เส้นทางภูเขาแบบนี้ สภาพแวดล้อมแบบนี้ ย้ายออกไปจะไม่ดีกว่าหรือ?
เหยาอวี่ซินอยู่ใกล้ๆ พอดี จึงพูดราวกับปืนกล “ไม่ใช่ไม่อยากย้ายออกมา แต่ย้ายไปแล้วจะใช้ชีวิตยังไง? พวกเขาที่นี่มีที่ดิน ถึงชีวิตจะลำบากแต่ก็ยังอยู่ได้ ถ้าย้ายออกไปแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจงานฝีมืออื่นๆ เลย กระทั่งบางคนยังไม่รู้หนังสือด้วยซ้ำ พูดภาษาถิ่นกันอีก พูดภาษากลางไม่ดี…อีกอย่างอายุเยอะแล้ว ออกไปหางานทำไม่ได้ สรุปคือลำบากมาก…”
ขณะพูดอยู่นี้ ทุกคนข้างๆ เริ่มแบกน้ำ เหยาอวี่ซินที่ดูผอมอ่อนแอยังแบกน้ำลังหนึ่ง ฟางเจิ้งเอ่ย “สีกา ส่งน้ำพวกโยมมาให้อาตมาเถอะ” เพราะมีปัญหาเรื่องแรงคน น้ำที่พวกเขาเอามาปกติแล้วจะหนึ่งคนหนึ่งลัง มากไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ได้
เหยาอวี่ซินหันกลับมาพูด “พี่หลิวอายุมากกว่าฉัน ท่านช่วยเธอเถอะ” พูดจบก็ตะโกนเรียกผู้หญิงที่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็จะยิ้มอย่างสุภาพมาก
ผู้หญิงกลับส่ายหน้า “ฉันยังไหว ไม่ต้องหรอก”
“อมิตาพุทธ สีกาสองท่าน อาตมาถือให้หมดเอง ไม่หนักเท่าไรหรอก” ฟางเจิ้งพูด
“ถือให้หมด? หลวงพี่ นี่มันหนักมากนะ เส้นทางขึ้นลงเขาไกลมาก ภาระหนักมากนะครับ” เฮ่อหมิงเตือน
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อยก่อนเดินมาข้างๆ แล้วผลักหินใหญ่สูงครึ่งคนก้อนหนึ่ง
หลายคนตาค้าง สุดท้ายน้ำทั้งหมดของผู้หญิงสองคนก็มาอยู่ในมือฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งแบกขึ้นหลังแล้วรู้สึกหนักเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าสบายๆ
ขณะจะลงไปพลันได้ยินว่ามีคนตะโกนมาจากข้างล่าง “น้องพี่ ช้าๆ หน่อย”
“พี่ชายทึ่ม หนูเร็วกว่าพี่อีก”
พวกฟางเจิ้งอึ้งงัน มีศีรษะเล็กโผล่ออกมาจากใต้หน้าผา เป็นเด็กน้อยผูกผมเปียแกะ เนื้อตัวมอมแมม ดวงตาเล็กสว่างไสวมาก ทว่าพอเห็นทุกคนแล้วกลายเป็นท่าทีหวาดกลัวนิดๆ แต่เมื่อเห็นเฮ่อหมิงกับพวกเหยาอวี่ซินแล้วพลันหัวเราะ พูดด้วยความตื่นเต้น “พี่ อาเฮ่อ พี่เหยามาแล้ว! พวกเรามีน้ำหวานกินอีกแล้ว!”
“อะไรนะ? พวกอาเฮ่อมาแล้ว? เธอรีบขึ้นไปหน่อย พี่จะขึ้นไปดูด้วยเหมือนกัน” เสียงเด็กชายดังแว่วมาจากข้างล่าง
เด็กหญิงปีนขึ้นมาทันที พวกเหยาอวี่ซินกับเฮ่อหมิงรีบเข้าไปดูแล ดึงขึ้นมา ฟางเจิ้งถึงพบว่าคนที่ขึ้นมาจากใต้ภูเขาไม่ใช่เพียงเด็กสองคนนี้ แต่ยังมีเด็กอีกสามคนรวมห้าคน เป็นเด็กชายสี่ เด็กหญิงหนึ่ง เด็กเหล่านี้ค่อนข้างซูบผอม แต่มีความร่าเริงมาก อีกทั้งดูเหมือนสนิทสนมกับพวกเฮ่อหมิงและเหยาอวี่ซินมาก พอเจอหน้ากันก็ทักทาย เห็นได้ชัดว่ามีมารยาทมาก แต่ยังคงกลัวฟางเจิ้งนิดๆ ไม่กล้าเข้ามา
วุ่นวายกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเด็กๆ ต้องรีบไปเข้าเรียนเลยแยกย้ายกันไป
เห็นพวกเด็กๆ กระโดดโลดเต้นบนเส้นทางเทาดั่งถ่านวิ่งไปอย่างมีความสุขแล้ว ฟางเจิ้งถูจมูกโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเจ็บจมูกนิดๆ ตั้งแต่เล็กเขาคิดว่าตนลำบากมากแล้ว ดังนั้นเมื่อเติบใหญ่จึงอยากลงเขาไปหาเงิน ใช้ชีวิตดีๆ ไม่อยากเป็นนักบวชแล้ว…
แต่ตอนนี้เจอเด็กที่นี่ เขาพลันพบว่าช่วงวัยเด็กของตนมีความสุขมาก
ฟางเจิ้งลูบหัวเด็กแดง “ศิษย์ อาจารย์ตัดสินใจแล้ว”
“อะไรรึ?” เด็กแดงเงยหน้าถาม
“จากนี้อาจารย์จะไม่สวดมนต์ข่มขู่นายอีก” ฟางเจิ้งตอบด้วยมาดขรึม
เด็กแดงตาเปล่งประกาย “อาจารย์ จริงรึ?” เขาพลันรู้สึกว่าในที่สุดตนก็ได้ขึ้นสวรรค์!
ฟางเจิ้งตอบอย่างจริงจังมากว่า “อืม นับจากนี้ถ้านายไม่เชื่อฟัง อาจารย์จะส่งนายมาใช้ชีวิตกับพวกเขาที่นี่”
เด็กแดงชะงักงันก่อนดึงขากางเกงฟางเจิ้ง พร้อมกันนั้นยังพูดด้วยมาดขรึม “อาจารย์ จากนี้ไปศิษย์จะเชื่อฟังอย่างแน่นอน”
…………..
เส้นทางภูเขาข้างล่างเดินยากจริงๆ แต่ทุกคนเป็นมืออาชีพ ฟางเจิ้งแรงเยอะ ฝีเท้ามั่นคง ย่อมไม่มีปัญหา ทุกคนเรียงกันลงไปอย่างเป็นระเบียบ นำน้ำส่งไปยังหมู่บ้านสุดท้าย หมูบ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านขาหลัง ความหมายคือเป็นหมู่บ้านสุดท้ายในภูเขาใหญ่นี้ ในหมู่บ้านมีสิบกว่าครัวเรือน มิหนำซ้ำส่วนใหญ่เป็นคนชรา คนชราบางคนออกมาต้อนรับไม่ได้ แถมไม่มีความคึกคักเหมือนหมู่บ้านไต้หลี่ ทว่าเหล่าอาสาสมัครก็ยังส่งน้ำให้ทุกครัวเรือนและถือโอกาสพูดคุยกับเหล่าคนชรา เป็นการคุยแก้เหงา
ฟางเจิ้งพาเด็กแดงเดินตามไป เดินไปพลางมองไปพลาง ฟางเจิ้งไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ ถึงเขาจะอยู่บนเขาเอกดรรชนีอย่างยากจน แต่ภูเขาเอกดรรชนีตอนนี้เรียกว่ายากจนไม่ได้แล้ว เพราะมีไผ่หนาวกิน มีน้ำบริสุทธิ์ดื่ม แถมยังมีข้าวผลึก มีญาติโยมมาหา ทิวทัศน์ก็ถือว่าไม่เลว ไม่ถือว่าเป็นแดนเซียนแต่ก็เป็นแดนในอุดมคติ อยู่ที่นั่น เขาเข้าอินเทอร์เน็ตได้ ได้เห็นโลกข้างนอกทุกวัน รวมถึงเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองใหญ่ข้างนอก
……………………