The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 328 กลับภูเขาเอกดรรชนีอีกครั้ง เรียกลมเรียกฝน
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 328 กลับภูเขาเอกดรรชนีอีกครั้ง เรียกลมเรียกฝน
สรุปคือตอนที่ความคิดพวกเขากลับโลดแล่นดังเดิมนั้น ข้างหน้ามีอุโมงค์ยาวมากสายหนึ่ง! มีแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์!
“เปิดแล้ว?”
“พระเจ้า นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“อุโมงค์เปิดแล้ว…”
“ย่ามันเถอะ นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว…”
“เมื่อกี้เหมือนว่าแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวออกมาเป็นอุโมงค์? แถมอุโมงค์ยังไม่ถล่ม…นี่มันปาฏิหาริย์!”
………
เมื่อข่าวอุโมงค์เชื่อมถึงกันอย่างน่าอัศจรรย์แพร่งพรายออกไป คนข้างนอกต่างตาค้าง พากันวิ่งเข้ามาดูสถานการณ์ มีอุโมงค์เพิ่มมาสายหนึ่งจริงๆ มิหนำซ้ำยังแข็งแรงมาก ไม่มีอันตรายถล่มลงมาเลย! ทว่าพวกคนงานก็ยังตัดสินใจจะเสริมความแข็งแรงให้กับอุโมงค์ เป็นการเผื่อไว้ก่อน ขณะเดียวกันก็ส่งรายงานต่างๆ ขึ้นไป ช่วงเวลานี้ทั้งภูมิภาคสั่นสะเทือน! แผ่นดินไหวเล็กๆ ทะลวงผ่านภูเขา แถมยังสร้างเป็นอุโมงค์พอดิบพอดี ใครได้ยินต่างราวกับเห็นผี
ดูจากท่าทีเสียงดังเกรียวกราวข้างล่างแล้ว ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ”
ต่อมาประตูบานหนึ่งเปิดออกข้างหลัง ฟางเจิ้งก้าวเข้าไป ไม่ได้เข้าไปในวัดทันทีเหมือนครั้งก่อน แต่ปรากฏอยู่ใต้ภูเขาเอกดรรชนีจากมวลอากาศ ทว่าญาติโยมตรงตีนเขาเหมือนมองไม่เห็นเขา บางทีอาจไม่มีใครสังเกตเห็นหลวงจีนที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันรูปนี้ ทุกอย่างดูจืดจางอย่างเห็นได้ชัด
กลับถึงวัดเอกดรรชนี ฟางเจิ้งเห็นลิงในมาดไต้ซือเคร่งขรึม ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ถ่ายรูปรวมกับญาติโยมที่มาเป็นที่ระลึก อีกทั้งญาติโยมเหล่านั้นยังนำธนบัตรยัดใส่มือลิงอย่างใจกว้างมาก แต่ลิงกลับโยนทิ้งไปด้วยสีหน้ารังเกียจ
“เฮ้ย สมกับเป็นลิงนักบวชในวัด มองเงินทองเหมือนกับขี้โคลน” มีคนอุทาน
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นในใจกลับหลั่งเลือด! เขายากจนถึงขั้นออกไปกินข้าวยังไม่รู้ว่าจะไปกินที่ไหน แต่เจ้าลิงเหม็นโฉ่กลับไม่เอาเงิน! ทว่าคนมากขนาดนี้ ฟางเจิ้งคงจะต่อว่าอะไรไม่ได้ และยิ่งเข้าไปรับเงินไม่ได้ ภายในใจร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ได้แต่ถลึงตามอง
เห็นฟางเจิ้งกลับมาแล้ว ญาติโยมเดินเข้ามาแสดงความเคารพ ต่างเอ่ยชม “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ลิงนักบวชนี่เจ๋งมาก ดูแลญาติโยมแถมยังหยอกล้อเด็กได้ กวาดพื้น กวาดอุโบสถ ทำเหมือนคนเลย อีกอย่างมีคุณธรรมด้วย ไม่รับเงินเลย! จิ๊ๆ…นี่ดีกว่าหลวงจีนปลอมอ้วนๆ ในวัดบางแห่งเยอะ…”
ฟางเจิ้งมองดูตัวเองว่ายังไม่อ้วน จึงไม่ถือว่าเป็นหลวงจีนปลอมตัวอ้วน เลยพูดยิ้มๆ “อมิตาพุทธ นี่คือศิษย์ของอาตมา จิ้งเจิน เดินทางมาขอศึกษาธรรมนับพันลี้ สิ่งที่ตระหนักได้ในทุกวันนี้ล้วนได้มายาก”
จากนั้นฟางเจิ้งก็เล่าเรื่องที่ลิงตามมาจากภูเขาเมฆาขาว ทุกคนต่างตกใจยิ่งกว่าเดิม ลิงได้ยินฟางเจิ้งกำลังโม้ให้มันย่อมเชิดอกขึ้น ดูเจ๋ง ดูลำพองใจสุดๆ
เด็กแดงเห็นแบบนั้นก็เบะปาก หมุนตัวไปหลังลานวัด มุดเข้าไปในห้องครัวจุดไฟทำอาหาร ถึงจะไม่ได้กินข้าวผลึกมาแค่สองวัน แต่การกินข้าวของหมู่บ้านไต้หลี่ทำให้เขาคิดถึงข้าวผลึกมาก! ในโลกของเขา ข้าวผลึกไม่ถือว่าเป็นของหายากอะไร ตอนเขาเป็นมหาราชาได้กินข้าวชั้นสูง ไร้สิ่งสกปรกใดๆ เมื่อกินเข้าร่างกายไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นพลังงานทันที มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อมาถึงโลกนี้เขาพบว่านอกจากข้าวผลึกของวัดเอกดรรชนีแล้ว ไม่มีทางได้กระเดือกข้าวอื่นๆ เลย!
ฟางเจิ้งไม่สนใจว่าเด็กแดงจะทรมานอะไรอย่างไร ไปหมู่บ้านไต้หลี่ครั้งนี้เด็กแดงทำตัวดี ก็ควรจะให้สภาพแวดล้อมและพื้นที่สบายยิ่งขึ้นแก่เขา อีกอย่างแสงธูปของวัดสว่างไสวขึ้นทุกคืนวัน เงินบริจาคธูปมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพนาข้าวผลึกข้างหลังกำลังดี ใกล้ได้เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่แล้ว
ฟางเจิ้งมองฟ้า ภายในใจเต็มไปด้วยความพอใจ นี่นานเท่าไรเอง เวลาหกเดือนวัดเอกดรรชนีเปลี่ยนหน้าตาไปอย่างสิ้นเชิงด้วยน้ำมือเขา เมื่อหกเดือนก่อนเขาหิวจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องอาหาร…
คิดถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งตบเข้าที่หน้าผาก ก่อนวิ่งไปหลังลานวัด
กินมื้อเย็นเสร็จ ฟางเจิ้งตบหัวเด็กแดงแล้วว่า “ศิษย์ กินอิ่มแล้วก็ถึงเวลาทำงาน”
เด็กแดงหันหน้าหนี “ไม่ทำ!”
หมาป่าเดียวดายยืนขึ้นเหมือนคน ใช้กรงเล็บเกาะบนโต๊ะไว้ เอ่ยด้วยมาดขรึม “ศิษย์น้อง พวกเราใกล้จะไม่มีน้ำแล้วนะ นายไม่คิดจะลงเขาไปตักน้ำจริงๆ เหรอ?”
ลิงวางชามลง “ศิษย์น้อง ไม่มีน้ำ จากนี้พวกเราจะทำอาหารยังไง? นาข้าวผลึกก็ใกล้จะแห้งแล้ว ถ้าไม่มีน้ำพวกเราจะกินอะไร? หรือว่ากินข้าวที่กินยากนั่น?”
กระรอกวางข้าวปั้นลง กอดอกพูดด้วยความทุกข์ใจ “ศิษย์น้อง ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนพูดอะไรก็เถอะ แต่ศิษย์พี่คิดว่าถ้าฝนไม่ตก อาจารย์จะต้องสวดมนต์ครั้งใหญ่แน่ๆ”
เด็กแดงได้ยินแบบนั้นพลันโกรธจนจมูกเบี้ยว วิ่งมาฟ้องตรงหน้าฟางเจิ้ง “อาจารย์ เจ้าสามตัวนี้รังแกข้า โดยเฉพาะจิ้งควน มันขู่ข้า!”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย เอ่ยด้วยความจริงจัง “จิ้งซิน ใจเย็นอย่าใจร้อน บางคำพูดของจิ้งควนก็ไม่ถูกต้อง”
เด็กแดงถึงได้สงบลงเล็กน้อย
ฟางเจิ้งพูดต่อ “แต่ว่าอาตมาคิดว่าเขาพูดก็มีเหตุผล อาตมาใกล้จะได้สวดมนต์ครั้งใหญ่แล้ว ไม่แน่ว่าสวดมนต์แล้ว พระพุทธองค์อาจจจะเมตตาให้ฝนตก”
เด็กแดงย่นจมูก “อาจารย์ เวลาพวกเราคุยกันไม่ต้องข่มขู่ได้หรือไม่?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้!”
“ถือว่าพวกท่านชนะ วันนี้ข้ายอม หึๆ!” เด็กแดงพูดจบก็บินขึ้นฟ้า ไม่รู้ว่าไปไหน
“อาจารย์ ศิษย์น้องไปแล้ว ท่านไม่กลัวว่าเขาจะไปหาเรื่องใส่ตัวเหรอ?” ลิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หมาป่าเดียวดายกล่าว “อาจารย์ ศิษย์ว่าศิษย์น้องอาจจะไม่กลับมาแล้ว แถมไม่มีฝนตกด้วย”
กระรอกพูดด้วยความทุกข์ใจ “อาจารย์ ศิษย์น้องจะไม่หนีไปจริงๆ เหรอ? แล้วฝนล่ะจะทำยังไง?”
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาพุทธ พวกนายคือศิษย์พี่ของจิ้งซิน จะไปว่าศิษย์น้องแบบนั้นได้ยังไง? พวกนายต้องเชื่อใจเขา อย่างน้อยอาตมาก็เชื่อใจเขา” หลังเดินทางไปหมู่บ้านไต้หลี่ครั้งนี้ ฟางเจิ้งเข้าใจนิสัยเด็กแดงเล็กน้อยแล้ว นี่คือเด็กซน เด็กดื้อที่ถูกพ่อแม่และปีศาจน้อยใหญ่ดูแลจนเสียนิสัย ทั้งยังมีมุมมองในคุณค่าต่างกับคนบนโลกนี้ แต่ในด้านเนื้อแท้ เขายังไม่ได้เสียนิสัยถึงในกระดูก อย่างน้อยเขาก็เคยร้องไห้ในความฝันของหวงเหริน ตอนอยู่หมู่บ้านไต้หลี่ก็ยังไปเรียกฝนเอง นี่อธิบายได้ว่าส่วนลึกในใจเขายังมีเมล็ดพันธุ์ความดี ขอเพียงชี้นำดีๆ ให้กลับตัวกลับใจ ก็ใช่ว่าจะเป็นเด็กดีไม่ได้
เจ้าสามตัวนี้พยักหน้าตาม เอ่ยขึ้น “ศิษย์รู้แล้ว”
เด็กแดงที่อยู่หลังกำแพงได้ยินคำพูดฟางเจิ้งก็ยิ้มมุมปากก่อนหายลับไปไกล
ไม่นาน เกิดเสียงดังสนั่นฟ้า ฟ้าใสส่งเสียงฟ้าผ่าก่อนตามด้วยพายุคลั่ง เมฆดำรวมตัว!
“ฟ้าผ่าแล้ว!” ซ่งเอ้อโก่วที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในที่ร่มเย็นในบ้านพลันวิ่งออกมา แหงนหน้ามองฟ้าพลางตะโกนด้วยความตื่นเต้น “พายุ ฟ้าผ่า! ฝนจะตกแล้ว! พระเจ้าลืมตาแล้ว! เมียจ๋าเก็บผ้าเร็ว!”
“เก็บผีแกสิ ฝนตกแล้วจะเก็บผ้าอะไร? เอ่อ ใช่ ฝนตกก็ต้องเก็บผ้าสิ มัวแต่ดีใจจนงงไปหมด…ฮ่าๆ…”
………………..