The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 336 ถูกลากไปผสมโรง
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 336 ถูกลากไปผสมโรง
“ทำความดีมักมีอุปสรรค ของดีมักหาไม่เจอ ฉันแนะนำให้ทุกคนขึ้นไปดูบนเขา! ไม่แน่ว่าหลวงพี่อาจจะกลับขึ้นเขาไปแล้ว” ผู้ชายเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ตะโกน เขาชื่อฮวาลั่ว ชื่อสุภาพมาก ทว่าคนกลับไม่สุภาพเหมือนกัน
ทุกคนได้ยินดังนั้นพลันขานรับ วุ่นวายมาจนถึงตอนนี้ แขกจากในเมืองเหล่านี้ค่อยๆ มองการตามหาบ๊ะจ่างเป็นเป้าหมายเล็กๆ แล้ว แต่มีส่วนของความครึกครื้นมากกว่า ถึงอย่างไรอยู่ในเมือง การจะให้คนมากขนาดนี้ทำกิจกรรมกันอย่างสามัคคี มารวมตัวกันอย่างสนุกสนานเพื่อเรื่องเรื่องหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้มีโอกาสอย่างหาได้ยากแล้ว แต่ละคนจึงคึกคักกันมาก
โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ตัวเองอยู่แต่ที่บ้าน ตอนนี้เจอเด็กมากขนาดนี้มาจับกลุ่มกัน จึงเล่นกันอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าย่อมชอบความรื่นเริงมากกว่า
ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงตะโกนของฮวาลั่ว กลุ่มคนจึงขึ้นเขาไปกันอย่างเอิกเกริก
แต่สองชั่วโมงต่อมา พวกเขาต่างมองประตูวัดที่ปิดสนิท อึ้งงันไปแล้ว!
“นี่จงใจปิดประตู หรือว่าข้างในไม่มีคน?” ภรรยาของฮวาลั่วถามด้วยความสงสัย
“เปิดประตูเข้าไปดูก็รู้เอง” ฮวาลั่วบอก
“ไม่ได้!” ตอนนี้เอง มีเสียงตะโกนดังมา ตามด้วยชาวบ้านหลายคนที่วิ่งมาขวางหน้าพวกเขาไว้ คนนำหน้าคือหวังโอ้วกุ้ยที่มาเพราะได้ยินข่าวคราว
“ผู้ใหญ่บ้าน คุณทำอะไรเนี่ย?” ฮวาลั่วถามอย่างไม่เข้าใจ
หวังโอ้วกุ้ยกล่าว “ประตูวัดปิด เข้าไปไม่ได้ เจ้าอาวาสฟางเจิ้งน่าจะไม่อยู่ ทุกคนกลับไปเถอะ”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น เข้าไม่ได้? แบบนั้นก็เดินเล่นอยู่ข้างนอกแล้วกัน ดูป่าไผ่ไกลๆ กับต้นไม้เขียวชอุ่ม เมื่อได้ไอเดียแล้ว สรุปคือหวังโอ้วกุ้ยยังห้ามพวกเขาอีก เรื่องตลกก็คือ ตรงนั้นคือป้ายร้านค้าในหมู่บ้าน คนเยอะขนาดนี้เข้าไป พวกเขาคงดูแลไม่ทั่วถึง
ทุกคนได้แต่มองไปไกลๆ ก่อนจะนั่งลงบนเขาไม่ยอมลงไป เป็นตายอย่างไรก็จะรอฟางเจิ้งกลับมา อย่างน้อยขอบ๊ะจ่างสักอันเถอะ ในหมู่คนเหล่านี้มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้กิน มีส่วนหนึ่งได้กินแล้ว รสชาติหอมหวนที่ยังหลงเหลือในปากทำให้พวกเขาเคลิบเคลิ้ม ประเด็นสำคัญคือ ได้ยินว่าบ๊ะจ่างมีแค่วันนี้เท่านั้น พลาดแล้วต้องรอปีหน้า พวกนักกินทั้งหลายจึงต้องรอเพื่อความสุขของปากตน! ส่วนคนที่ไม่เคยกินอยากรู้อยากเห็นมากกว่า ในเมื่อมีคนรอ เช่นนั้นก็รอด้วยกันเลย ไม่อย่างนั้นคนอื่นได้กิน ตนไม่ได้กิน เท่ากับเสียเปรียบไม่ใช่เหรอ?
ทว่า…
ช่วงเช้าผ่านไป…
ฟางเจิ้งยังไม่กลับมา
ช่วงบ่ายผ่านไป ฟางเจิ้งก็ยังไม่กลับมา…
กลุ่มคนจากตื่นเต้น จากฮึกเหิมฮึดสู้ พลันกลายเป็นมะเขือเหี่ยวในท้ายที่สุด เฉาจนทำปากขมุบขมิบ พลางคิดดูว่าควรจะล้มเลิก ควรจะลงเขาไปดีไหม…
แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?
เขาดูการแข่งเรือมังกรข้างนอก จากนั้นเดินเล่นอีกหนึ่งวัน เที่ยวเล่นจนทุกคนที่มารอที่วัดเอกดรรชนีเดินโซซัดโซเซไปมาแล้ว
ระหว่างทาง ฟางเจิ้งอยากรู้มากว่าโลกที่เด็กแดงอยู่เป็นโลกอย่างไร จึงถามขึ้น “จิ้งซิน บ้านเกิดศิษย์สั่งสอนลูกกันยังไงเหรอ”
“สั่งสอน? มีอะไรน่าสั่งสอนกัน? พวกเราน่ะ กำปั้นใหญ่คือหลักทำนองคลองธรรม มีพลังก็เป็นมหาราชา! บนเขาที่ข้าอยู่นั่น ไม่ได้โม้นะ แต่จะบอกให้ว่าปีศาจน้อยทั้งภูเขาต้องทำงานจนวาระสุดท้ายของชีวิตเลย เหอะ…นั่นต่างหากคือชีวิตคน ใครจะไปเหมือนที่นี่ มีแต่กฎและข้อจำกัดต่างๆ” เด็กแดงค่อนข้างคิดถึงชีวิตในอดีตที่ผ่านมา
กระรอกถามอย่างสนใจ “ศิษย์น้อง นายเก่งกาจขนาดนี้เลยนี่ แต่ถ้าเจอกับคนที่เก่งกว่าจะทำยังไง?”
เด็กแดงตอบ “คนที่เก่งกว่า? ไม่เป็นไร บิดามารดาข้าร้ายกาจ มารดาข้าใช้พัด ถ้าใครไม่ยอมให้ก็พัดใส่! ฮิ ไม่รู้ว่าคนคนนั้นลอยไปไกลแค่ไหน ส่วนบิดาข้าเก่งยิ่งกว่า เขาคือราชาผู้ทรงพลัง ใครจะกล้าล่วงเกินข้า!”
“แล้วถ้าพ่อกับแม่นายทะเลาะกันล่ะ ใครเก่งกว่า?” กระรอกถามซื่อๆ
เด็กแดงพลันพูดไม่ออก…
ฟางเจิ้งหลุดหัวเราะ สมองเจ้ากระรอกนี่มันช่าง…โดดเด่นไม่เหมือนใครจริงๆ!
เด็กแดงเห็นฟางเจิ้งหัวเราะก็ย่นจมูก ด้วยนิสัยของเขา ถูกหัวเราะเยาะแล้วจะไม่โต้กลับที่ไหน จึงพูดตอบ “อันนี้ข้าไม่รู้”
“พวกเขาไม่เคยทะเลาะกันเหรอ” หมาป่าเดียวดายถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
เด็กแดงส่ายหน้า “เคย หลายครั้งด้วย” พูดถึงตรงนี้ เด็กแดงเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนผ่านโลกมาเนิ่นนาน “ไม่พูดแล้ว พูดมากไปก็เสียใจ”
“ในเมื่อเคยทะเลาะกันจะต้องมีคนที่เก่งกว่าสิ ฉันเดานะ แม่จิ้งซินจะต้องเก่งกว่าแน่ ถึงยังไง…ก็มีพัดที่ร้ายกาจนั่น” กระรอกว่า
หมาป่าเดียวดายพูด “พ่อนายต้องเก่งกว่าแน่ เป็นราชาผู้ทรงพลังเชียวนะ เหมือนหมีอะไรพวกนี้รึเปล่า? ยืนหยัดลมพัดไม่ปลิว?”
หมาป่าเดียวดายกับกระรอกไม่มีวิธีสื่อสารกัน ต่างพูดคำของตัวเอง
เด็กแดงพูด “ไม่รู้ ทุกครั้งที่พวกเขาทะเลาะกัน ข้าจะรู้สึกสนุกมาก คอยปรบมืออยู่ข้างๆ ให้พวกเขาทะเลาะกันเดือดกว่าเดิม ผลคือทุกครั้งจะถูกลากไปผสมโรงด้วย…เฮ้อ วัยเด็กข้า น่าเวทนาเกินจะทน…”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ หัวเราะเสียงดังขึ้นมา มิน่าเด็กแดงถึงดื้อแบบนี้ พ่อแม่เขาก็ดื้อด้านเหมือนกันนี่เอง…
ระหว่างคุยกันอยู่นี้ พวกเขากลับขึ้นมาบนเขา แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปก็เห็นดวงตานับไม่ถ้วนบนเขามองมาทางนี้ ดวงตาแต่ละดวงใกล้จะเปล่งแสงสีเขียวแล้ว!
เด็กแดงมาขวางอยู่หน้าฟางเจิ้ง ร้องเสียงดังว่า “อาจารย์ ระวัง!” ตะโกนเสร็จเด็กแดงก็ต้องเสียใจทีหลัง ไอ้สารเลวหัวโล้นตายหรือไม่ตายเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย? ตายสิเขาถึงจะหลุดพ้น!
ทว่าฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ ประนมสองมือ กล่าวกับทุกคนว่า “อมิตาพุทธ ทุกท่านกำลังทำอะไรกัน?”
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านกลับมาแล้ว ยังจะทำอะไรอีกล่ะ รอท่านน่ะสิ บ๊ะจ่างนั่นก่อเรื่องใหญ่แล้ว…พวกเขามาขอบ๊ะจ่างกัน” หวังโอ้วกุ้ยเดินเข้ามาก่อน เล่าสถานการณ์อย่างละเอียด
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็จนปัญญา เขารู้ว่าในหมู่บ้านทำการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แต่ไม่นึกเลยว่าแต่บ๊ะจ่างไม่กี่อันจะได้ผลตอบรับมากขนาดนี้ เห็นสายตาเขียววาววับของทุกคนแล้ว ถ้าวันนี้ไม่ให้บ๊ะจ่างไป ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะระเบิด…
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อยพลางบอก “ญาติโยมทุกท่าน เกรงว่าคงต้องผิดหวังกันแล้ว อาตมาแจกบ๊ะจ่างที่มีไปหมดแล้ว ไม่เหลือสักอันเลย”
ตลกน่า ฟางเจิ้งมีเงินสะสมเท่าไร? ห่อบ๊ะจ่างก็ต้องใช้เงิน! เงินทองเป็นสิ่งล้ำค่า ที่ให้กับคนในหมู่บ้านไปก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว คนนอกมายังต้องให้อีก? คิดว่าฟางเจิ้งเป็นเศรษฐีที่ดินจริงเหรอ?
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านทำแบบนี้ไม่ได้ พวกเรารอมาทั้งวัน ท่านดูสิ พวกเรายังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย เพราะรอบ๊ะจ่างท่านน่ะ” ฮวาลั่วร้อนใจแล้ว แต่ก็โกหกไป พวกเขากินข้าวกลางวันแล้ว ถึงไม่ได้ลงเขาแต่ก็มีคนส่งขึ้นมาให้
ฟางเจิ้งยังคงส่ายหน้า “ขออภัยด้วยประสก อาตมาไม่มีบ๊ะจ่างจริงๆ บ๊ะจ่างที่เตรียมมาเมื่อวาน วันนี้ก็แจกจ่ายไปหมดแล้ว”
ฟางเจิ้งไม่กล้าเผยช่องโหว่ บ๊ะจ่างข้าวผลึกต้องอร่อยอยู่แล้ว ถ้าคนพวกนี้กินจนติดก็จะมากันทุกวัน…เขาเป็นหลวงจีนหรือพ่อค้ากันแน่? ที่ให้ชาวบ้านก็เพราะมีบุญคุณต่อกัน แต่คนเหล่านี้ล่ะ? ฟางเจิ้งไม่ได้ผูกพันอะไรกับพวกเขา จึงไม่ถ่ายทอดพระธรรมง่ายๆ บ๊ะจ่างก็เช่นกัน…
พูดจบ ฟางเจิ้งพาพวกศิษย์กลับวัดเอกดรรชนี เปิดประตู ปิดประตู เด็ดขาดไม่อืดอาดเลย
……………………………………….