The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 338 ผู้ชาย
ทว่าฟางเจิ้งไม่รีบร้อน ขอเพียงทุกคนพยายามด้วยกัน เขาเชื่อว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
หนึ่งวันผ่านไปโดยที่ฟางเจิ้งเอ้อระเหยไปมา
วันที่สองเมื่อฟ้าสว่าง ฟางเจิ้งมองเวลา เห็นว่าเพิ่งตีห้า และนึกถึงคำสัญญาเมื่อวาน จึงลุกขึ้นไปทำความสะอาดอุโบสถ เขายังไม่กินข้าว แต่ไปเปิดประตูใหญ่ของวัดก่อน
ไม่ผิดจากนั้น พ่อลูกคู่นั้นยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ฟางเจิ้งประนมสองมือเอ่ย “ประสกมาเช้าจังเลยนะ”
“หนู…” เด็กหญิงกำลังจะพูด ผู้ชายก็ตบๆ หัวเธอ เด็กหญิงจึงเงียบไป
ผู้ชายกล่าว “รบกวนหลวงพี่ด้วยครับ”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อยก่อนหลีกทางให้ ผู้ชายพาเด็กหญิงเข้าไปแล้ว ก็ยังไปจุดธูปอธิษฐานเงียบๆ ถึงแม้ตอนนี้แสงธูปวัดเอกดรรชนีค่อยๆ สว่างไสวขึ้น ทว่าก็เพิ่งเคยเจอพ่อลูกแปลกๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดพ่อลูกถึงมาจุดธูปเช้าขนาดนี้ อีกอย่างจากท่าทางสองคนนี้ ดูแล้วเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง โดยเฉพาะผู้ชายดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาแดงราวกับไม่ได้นอนมานานมาก ได้แค่อาศัยความแน่วแน่ยืนหยัดไว้
แต่ฟางเจิ้งก็ยังไม่ทำอะไร มองสองคนคุกเข่าไหว้พระเสร็จแล้วก็ค่อยๆ เดินจากไปไกล
ฟางเจิ้งมองแผ่นหลังสองคนนี้พลางนึกย้อนความทรงจำ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอพ่อลูกคู่นี้ที่ไหน ถ้าอย่างนั้นพ่อลูกคู่นี้น่าจะไม่ใช่คนท้องถิ่น อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่อย่างนั้นฟางเจิ้งต้องมีภาพจำบ้าง
เมื่อวันหยุดเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างผ่านไป ญาติโยมที่มาจุดธูปวัดเอกดรรชนีน้อยลง แม้แต่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรในหมู่บ้านเอกดรรชนีด้านล่างยังว่างขึ้นไม่น้อย พวกชาวบ้านว่างจึงมารวมกันอีกครั้ง คุยเรื่องจุกจิกในครอบครัวและรายได้ของแต่ละครอบครัว แข่งกันว่าใครมีลูกค้ามากกว่ากัน หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนการทำอาหารอะไรพวกนี้…
ทั้งโลกเหมือนจะสงบสุข นอกจากดวงอาทิตย์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แสงตะวันที่มากขึ้นทุกที ความอบอ้าวทำให้จิตใจคนไม่ค่อยสงบ สองวันนี้หมาป่าเดียวดายแทบจะวิ่งไปนอนหมอบในนาข้าวผลึกทุกวัน แช่อยู่ในน้ำ แลบลิ้นกักเก็บความเย็นไว้
เจ้ากระรอกทำอ่างของตัวเอง ใส่น้ำแล้วไปนอนแช่ข้างในพลางกินเมล็ดสนและหน่อไม้ ชีวิตของเจ้าตัวน้อยมีความสุขตลอดทั้งวัน ราวกับจะไม่มีความทุกข์ตลอดกาล
เทียบกับพวกนี้แล้ว เจ้าลิงดูสงบนิ่งมากอย่างชัดเจน ฟางเจิ้งตื่นนอนมันตื่นตาม ฟ้าผ่าไม่ขยับ ถึงเวลาก็ไปกวาดลานวัด เหมือนเป็นความเคยชินในชีวิตของมันแล้ว ช่วงที่ฟางเจิ้งสวดมนต์มันจะนั่งอยู่ข้างๆ พลางฟังสวด มีท่าทีเหมือนกำลังขบคิดอยู่ทุกวัน
หากใช้คำพูดของเด็กแดง นั่นคือ ‘ศิษย์พี่จิ้งเจิ้น ท่านโกนขนก็เป็นนักบวชที่แท้จริงได้แล้ว’
เด็กแดงก็ยังทำแบบเดิม ตอนเย็นฝนตก กลางวันกินอิ่มนอนหลับเต็มอิ่ม ใกล้จะกลายเป็นลูกแพะอ้วนแล้ว
วันเวลาช่วงนี้ของฟางเจิ้งก็ว่างเช่นกัน เวลาของการอ่านพุทธคัมภีร์ ตักน้ำและสวดมนต์ให้ข้าวผลึกผ่านไปอย่างเร็วไว
วันที่สาม ฟางเจิ้งตื่นเช้ากว่าเดิม ตื่นนอนตีสี่ ทำความสะอาดอุโบสถก่อนไปกินข้าวเช้า ตีห้าครึ่งจึงเปิดประตูวัด แต่สิ่งที่เขาทำให้แปลกใจคือเปิดประตูเช้าขนาดนี้ พ่อลูกคู่นั้นกลับมาถึงแล้ว! ยืนอยู่หน้าประตูเหมือนรอมาสักครู่
ฟางเจิ้งกล่าว “โยมทั้งสอง ทำไมถึงมาเช้าแบบนี้ทุกวันล่ะ?”
ผู้ชายก้มหน้าลงมองเด็กหญิง ไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ว่าเขาเป็นบิดาที่พูดไม่ค่อยเก่ง
เด็กหญิงตัวน้อยพบฟางเจิ้งสองครั้งแล้วจึงไม่ได้กลัวเหมือนวันแรก แต่ก็ยังไม่กล้าพูดสักเท่าใด
ฟางเจิ้งเห็นผู้ชายเงียบจึงพยักหน้าเล็กน้อย และหลีกทางให้
ผู้ชายพาเด็กหญิงเข้าไปในวัด จุดธูปไหว้พระอีกครั้ง…
เพียงแต่ตอนนี้ ฟางเจิ้งเดินเข้าอุโบสถ นั่งลงข้างหลังมู่อวี๋แล้วเคาะมันเบาๆ ปากสวดมนต์ เมื่อเสียงสวดกับมู่อวี๋ดังขึ้น ทั้งวัดเข้าสู่สภาวะว่างโล่งและใสสะอาด ประหนึ่งทั้งโลกเงียบสงบ…ทว่าเสียงสวดพิลึกพิลั่นนี้ ไม่ได้ทำให้ผู้ชายลืมความทุกข์ในใจ แต่มันกลับรุนแรงกว่าเดิม ชัดเจนกว่าเดิม! ความกลัดกลุ้มทั้งหมดถูกวางไว้ตรงหน้า ดั่งรังไหมถูกดึงเส้นไหม หนีก็หนีไม่รอด!
นี่คือการตระหนักรู้ในการสวดมนต์เร็วๆ นี้ของฟางเจิ้ง และก็เป็นการตระหนักจากวัชรสูตรที่ระบบให้รางวัลมา เป้าหมายหลักๆ ของการสวดมนต์คือรู้แจ้งใจตน ตัวเองสวดมนต์จะเข้าใจจิตใจของตัวเองได้ ทว่านั่นเป็นเพียงฝั่งหินยานเท่านั้น ของฝั่งมหายานจะช่วยผู้อื่นตระหนักจิตใจแทน
ความทุกข์ใจของคนจำนวนมากไม่ใช่ความทุกข์ที่แท้จริง ความทุกข์ที่มากกว่าบดบังเจตนาเดิม ไม่รู้ว่าตนต้องการอะไร ทุกข์ใจอยู่ท่ามกลางความสับสน ยกตัวอย่างนักศึกษาจำนวนมากที่เรียนจบแล้วยืนอยู่หน้าสี่แยก แต่ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองต้องการอนาคตแบบไหน สิ่งที่มากกว่านั้นคือมึนงงหลงทาง คิดจะไปตามกระแสส่วนใหญ่ หางานที่มั่นคงก่อนค่อยว่ากัน จากนั้นค่อยใคร่ครวญอีกที
แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจ เมื่อก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย จิตใจกำลังเร่าร้อนฮึกเหิม ในใจมีอุดมการณ์ไม่มีสิ้นสุด ในตอนนั้นถ้าเลือกเป้าหมายหนึ่งแล้วพยายามต่อไป จะมีโอกาสสำเร็จสูงยิ่ง ทว่าหากก้าวเข้าสู่สังคมโลกโลกีย์นี้เมื่อไร จะถูกเรื่องต่างๆ บดบังจิตใจจนหาความตั้งใจเดิมไม่พบอีก อยากละวางทุกอย่างเพื่อไปสู้สุดชีวิตก็ยากแล้ว
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าทำไมพ่อลูกคู่นี้ถึงยึดมั่นขนาดนี้ ตื่นเช้ามาไหว้พระแบบนี้ แถมยังมาติดกันสามวัน เขาสนใจใคร่รู้เล็กน้อย ดังนั้นเลยมาสวดมนต์ อยากจะมองหาความจริง ดูว่าจะช่วยอะไรพวกเขาได้ไหม
เมื่อผู้ชายเริ่มเผยความรู้สึกจริง ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง!
เวลาต่อมา ฟางเจิ้งมาปรากฏตัวในบ้านดินของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านทรุดโทรมเล็กน้อย แต่ก็ยังบังแดดบังฝนได้ หญิงวัยแต่งงานแล้วคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่ออยู่ในลานบ้าน ในมือกำกระดาษแผ่นหนึ่ง น้ำตาไหลลงมาดังแปะๆ
ขณะนี้เองประตูบ้านเปิดออก ผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน เอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำและแหบแห้งว่า “ผมจะไปทำงาน ไม่ต้องห่วง ต้องมีทางออกแน่”
“ยังจะมีทางอะไร? ค่ารักษาสูงขนาดนั้น เงินที่ยืมได้ก็ยืมหมดแล้ว แต่ยังขาดอีกตั้งสองแสนกว่า…ฮือๆๆ…” ผู้หญิงพูดจบก็กุมหัวร้องไห้
ผู้ชายตบหลังเธอพลางว่า “วางใจเถอะ จะต้องมีหนทาง”
เอ่ยจบผู้ชายก็เดินไป
“คุณจะทำอะไรได้? ลูกเป็นแบบนี้แล้ว เงินก็ยืมมาหมดแล้ว จะหวังเงินเดือนน้อยนิดของคุณเหรอ?” ผู้หญิงพูด
ผู้ชายตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้ง “มีทางอยู่ เชื่อผม”
กล่าวจบ เขายืดตัวตรงกว่าเดิม ก่อนก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ภาพเปลี่ยนไป มาอยู่ในถ้ำเหมืองมืดมิด ผู้ชายคนนั้นกำลังขุดเหมืองอย่างยากลำบาก เหงื่อเต็มศีรษะ ทั้งตัวเหมือนเพิ่งถูกตักขึ้นมาจากในน้ำ
ตอนนี้เองมีคนตะโกนขึ้น “พี่ใหญ่เฉา ถึงเวลาแล้ว ขึ้นไปเถอะ ไปพักหน่อย”
“หา? อ้อ…ฉันทำอีกเดี๋ยว นายขึ้นไปก่อนเลย” เฉาชั่นตอบ
“อย่างนั้นก็ได้ แต่พี่อย่าลืมนะ ขึ้นไปเร็วๆ หน่อย อีกเดี๋ยวจะกินข้าวกันแล้ว” คนคนนั้นตะโกน จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ในอุโมงค์เหมืองที่มืดและเงียบสงบ ผู้ชายยังคงก้มหน้าขุดไป ที่นี่คือเหมืองถ่านหินเล็กส่วนตัว เจ้าของเหมืองถ่านหินให้เงินเดือนพื้นฐานกับคนงานหนึ่งพันหยวน ต่อมาจะให้โบนัสตามการทำงาน โบนัสเยอะมาก ทำหนึ่งเดือนอย่างต่ำจะได้สามพันกว่ากระทั่งสี่พันกว่าหยวน เฉาชั่นคำนวณแล้ว ถ้าเขาเอาเวลาพักกินข้าวมาขุดเหมืองทุกวัน ในหนึ่งวันจะได้เงินเพิ่มสิบกว่าหยวน หนึ่งเดือนได้หลายร้อยหยวนจนถึงขั้นพันหยวน! ดังนั้นหลังจากเขาคำนวณแล้วจึงไม่คิดจะขึ้นไปกินข้าวอีก