The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 339 วิถีทาง
เมื่อเขาหิวจะควักขนมเปี๊ยะที่นำมาจากบ้านออกมาจากในอกเสื้อ กัดไปสองคำ พอหิวน้ำก็ดื่มน้ำจากในกาน้ำ ขอแค่เหนื่อยไม่ล้ม เขาจะไม่มีวันหยุดเด็ดขาด! เครื่องจักรหยุดแล้ว เขาก็จะทำ! ไม่ใช่เพื่อสิ่งอิ่น แต่เพื่อลูกของตน!
ภาพเปลี่ยนไป เฉาชั่นลากร่างเหนื่อยล้าของตัวเองโดยสารรถกลับบ้าน
แสงไฟในบ้านสลัวราง เพื่อประหยัดเงิน พวกเขาจึงจงใจเปลี่ยนหลอดไฟวัตต์เยอะเป็นวัตต์น้อยลง
“วันนี้อาหลิวมาทวงเงินแล้ว ฉันบอกขออีกสองสามวัน เธอดูไม่ค่อยพอใจเลย” ภรรยาเฉาชั่นนั่งอยู่บนเตียงเตา ข้างๆ เป็นเด็กหญิงเฉาเสวี่ยเคอ เฉาเสวี่ยเคอนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม กำลังหลับสบาย ผู้ชายไม่กล้าพูดเสียงดัง เพียงแค่โบกพัดเบาๆ ระบายความร้อนให้ลูก ขณะเดียวกันก็ไล่ยุงไปด้วย ส่วนตัวเองกลับเหงื่อท่วมตัว
เฉาชั่นได้ยินภรรยาพูดแบบนี้จึงตอบเสียงแผ่ว “รออีกหน่อย ใกล้จะมีเงินแล้ว เดี๋ยวให้เงินเดือนของเดือนนี้…”
“คืนเงินไปแล้วลูกจะทำยังไง?” หลี่เซียงภรรยาเฉาชั่นขัดคำพูด จ้องเฉาชั่นเขม็ง แววตาคมกริบและติเตียนอยู่หลายส่วน ทั้งยังมีความสิ้นหวังและเจ็บปวดอีกหลายส่วน
เฉาชั่นนิ่งเงียบ ก้มลงนั่งบนเตียงเตา เขาอยากนอนพักสักเดี๋ยวเพราะเหนื่อยมากจริงๆ ทว่าไม่ได้ทำ ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนว่าถ้าเขาไม่นอน ครอบครัวนี้ก็จะไม่ล้มลง…
คืนนี้เฉาชั่นนอนไม่ค่อยหลับ วันที่สองตอนเช้าตรู่ เขาตื่นนอนเก็บของ ลงไปในบ่ออีกครั้ง
ทว่าสามวันต่อมา เฉาชั่นถูกคนแบกกลับมา บอกว่าอยู่ในบ่อลึกนานเกินไป เหนื่อยจนเป็นลมไปแล้ว ทางเหมืองจึงให้เขาพักอยู่ที่บ้านสองสามวัน
หลี่เซียงได้ยินเข้าก็พลันร้องไห้ พลางกอดเฉาชั่นไว้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว เธอเช็ดหน้า ล้างตัว ป้อนข้าวให้เฉาชั่น นี่คือสิ่งเดียวที่เธอทำได้ ถ้ามากกว่านี้ เธอไม่รู้ว่ายังจะทำอะไรได้อีก
เฉาชั่นไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานแค่ไหน เมื่อตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่พูดคือ “ผมไม่เป็นไร ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ผมยังทำงานไม่เสร็จเลย ขาดงานหนึ่งวันหักเงินเดือนนะ”
พูดจบ เฉาชั่นลุกขึ้นจะเดินไปข้างนอก แต่เดินไปได้สองก้าวร่างกายก็เริ่มซวนเซ หลี่เซียงเห็นแบบนั้นจึงโผเข้าไปกอดเอวเฉาชั่นไว้ “ไม่ไป วันนี้ไม่ต้องไปแล้ว…หักก็หักเถอะ พวกเราค่อยคิดวิธีหาเงินกันใหม่”
เฉาชั่นยิ้มขมขื่น “พูดอะไรโง่ๆ ผมหายดีแล้วไม่ใช่เหรอ วางใจได้ ผมไม่เป็นไร แค่เหนื่อยนิดหน่อย อีกเดี๋ยวอยู่บนรถก็พักสักหน่อย จะได้ไม่เสียงานเสียการ”
“ไม่…คุณไปไม่ได้ คุณหมดสติมาหนึ่งวันแล้ว!” หลี่เซียงตะโกนพลางร้องไห้
เฉาชั่นอึ้งไป หนึ่งวันแล้ว? เขาไม่ห่วงว่าทำไมตนถึงหมดสตินานขนาดนี้ เขาห่วงแค่ว่าไม่ได้ไปหนึ่งวันจะโดนหักเงินเท่าไร!
ตอนนี้เองเฉาชั่นถูกกอดขา พอก้มหน้ามองไปก็เห็นเฉาเสวี่ยเคอลูกสาวกอดขาตัวเองไว้ เงยหน้าพูดว่า “พ่อคะ ไม่ต้องไปแล้วได้ไหม? พ่อไม่ได้เล่นกับเสวี่ยเคอมานานแล้วนะ ไหนพ่อบอกว่าจะหาเวลามาเล่นกับเสวี่ยเคอ ยังบอกว่าอีกว่าจะให้ของขวัญเสวี่ยเคอ…พ่อ ไม่ไปแล้วได้ไหม? เมื่อวานแม่ร้องไห้ทั้งวันเลย เสวี่ยเคอเสียใจ”
เฉาชั่นมองภรรยา หลี่เซียงพยายามไม่ร้องไห้ แต่เค้นรอยยิ้ม “เปล่าสักหน่อย…ลูกก็พูดไปเรื่อย”
“เสวี่ยเคอบ้านเราไม่เคยโกหก” เฉาชั่นกล่าว จากนั้นออกแรงกอดไหล่ของหลี่เซียง
ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง เฉาชั่นพาเฉาเสวี่ยเคอมาเล่นในลานบ้าน ตอนนี้เองไม่รู้ว่าใครจัดงานศพที่บ้าน กลุ่มคนแบกโลงศพไม้ เป่าแตร โปรยกระดาษเงินตรงปากประตู
เฉาเสวี่ยเคอถามด้วยความแปลกใจ “พ่อคะ หนูว่าต่อไปหนูคงไม่ต้องใช้ไม้ใหญ่ขนาดนี้”
ได้ยินดังนั้น เฉาชั่นพลันน้ำตาไหล หมุนตัวกลับ ปาดน้ำตา นั่งยองลงพูดยิ้มๆ ว่า “เสวี่ยเคอไม่ได้ใช้ของนั่นหรอก”
“เสวี่ยเคอรู้ เสวี่ยเคอได้ยินพ่อคุยกับแม่ทุกวัน แต่เสวี่ยเคอไม่กลัว! เสวี่ยเคอมีพ่อกับแม่อยู่ข้างๆ ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย!” เฉาเสวี่ยเคอกอดเฉาชั่น ยิ้มร่าเริงบอก เฉาชั่นรู้ว่าเฉาเสวี่ยเคอยังไม่เข้าใจว่าความตายหมายถึงอะไร เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกรู้ว่าความตายคืออะไร เพียงแค่กอดลูกสาวเอาไว้…
“เอาละ ไปหาแม่เถอะ ดูว่ากำลังทำอะไร” เฉาชั่นพูดเสียงเบา
เฉาเสวี่ยเคอพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนวิ่งเข้าไปในบ้าน
ส่วนเฉาชั่นหันหลังเดินออกไป เขารู้ว่าจะพักไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังพักฟุ่มเฟือยแบบนี้ไม่ได้! เขาต้องทำงาน! เขาต้องหาเงิน!
ภาพเปลี่ยนไปอีก ในสถานที่ก่อสร้าง ขณะที่เฉาชั่นกำลังเข้าห้องน้ำก็ได้ยินใครกำลังคุยอะไรบางอย่างแว่วๆ
“ได้ยินรึเปล่า? เรื่องเหล่าอู๋โดนจัดการแล้วนะ เรียกร้องไม่ได้แล้ว”
“อะไรนะ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทางครอบครัวมาเรียกร้องกันหมดยังไม่ได้อีกเหรอ?”
“ที่เหล่าอู๋ตายจะโทษเหมืองเราทั้งหมดไม่ได้ เขาไม่ฟังเองเลยตายอยู่ใต้เหมือง อีกอย่างฉันได้ยินมาว่าเถ้าแก่พวกเราชดใช้ให้ครอบครัวพวกเขาไปสามหมื่น! นายคิดดูคนตายไปแล้ว ครอบครัวจะมาเรียกร้องอะไรอีก? จะให้ถึงขั้นฆ่าเถ้าแก่เราเลยรึไง เงินได้ไปแล้วก็ควรจะเผาศพซะ”
“นายได้ยินใครพูดเรื่องนี้มา?”
“นายจะเชื่อไหมก็แล้วแต่ นี่ไม่ใช่ความลับอะไรเลย นายไปถามก็รู้เอง เอาเถอะ ไม่พูดแล้ว กลับไปทำงานกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เฉาชั่นตกอยู่ในห้วงภวังค์ลึกๆ วันนี้เฉาชั่นทำงานไม่สู้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ตกกลางคืน เฉาชั่นกลับถึงบ้าน วันนี้เขากินมากกว่าปกติ แถมยังดื่มสุราอีกสองแก้ว ทว่าพูดน้อยคำมาก เพียงแต่เขาดูสบายขึ้นไม่น้อย
“เหล่าเฉา ไหนบอกว่าพักสองสามวันค่อยไปไง ทำไมคุณไปอีกแล้วล่ะ? คุณไม่รักสุขภาพเลยรึไง?!” หลี่เซียงพูดเสียงสะอื้น เธออดกลั้นมาตลอด รอจนเฉาชั่นกินข้าวเสร็จถึงระเบิดออกมา
เฉาชั่นตบๆ บ่าหลี่เซียง “พอแล้ว อย่าคิดเยอะนักเลย ทุกอย่างจะดีเอง วางใจเถอะ มีผมอยู่ทุกอย่างจะดีเอง…”
“อืม…” หลี่เซียงฟังเฉาชั่นพูดซ้ำไปซ้ำมาว่าทุกอย่างจะดีเอง แม้รู้ว่าทุกอย่างเป็นไปได้ยากมาก แต่ก็ยังพยักหน้า เพียงอยากให้เฉาชั่นสบายใจขึ้นบ้าง
ทว่าเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงตะโกนจากข้างนอก “เฉาชั่น ฉันรู้นะว่าคุณกลับมาแล้ว เมื่อไรจะคืนเงินที่ยืมฉันไปหา? ฉันรู้นะว่าครอบครัวพวกคุณลำบาก ก็เลยเลื่อนให้นานถึงขนาดนี้ นี่จะให้รอไปจนถึงเมื่อไร?”
หลี่เซียงได้ยินเข้าก็ตัวสั่น ดึงเฉาชั่นพลางส่ายหน้า ความหมายคืออย่าส่งเสียง ให้แสร้งว่าในบ้านไม่มีคน
แต่ว่าเฉาชั่นก็ยังเค้นรอยยิ้มบางๆ ให้เธอ ตบบ่าเธอแล้วออกไป
จากนั้นหลี่เซียงได้ยินเสียงเฉาชั่นแว่วมา “อาหลิว วางใจครับ สิ้นเดือนนี้ผมจะคืนให้ จะไม่เลื่อนอีกแล้วครับ…”
“พูดแล้วนะ ฉันจะเชื่อคุณอีกสักครั้ง” จากนั้นเสียงฝีเท้าของอาหลิวถึงดังไกลออกไป
“เหล่าเฉา…สิ้นเดือนจะเอาเงินมาจากไหน คุณคืนเขาไปแล้ว คนอื่นๆ ก็จะมาทวงหนี้อีก ถึงตอนนั้น…เฮ้อ…มีเงินก็ต้องรักษาให้เสวี่ยเคอก่อนสิ” หลี่เซียงร้อนใจจนแทบจะร้องไห้แล้ว