The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 344 ไม่ต้องใช้อภินิหารก็ช่วยคนได้
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 344 ไม่ต้องใช้อภินิหารก็ช่วยคนได้
คิดถึงตรงนี้ เฉาชั่นพลันหมุนตัววิ่งกลับไป แต่ข้างนอกจะยังมีร่างเงาของฟางเจิ้งอีกหรือ?
เฉาชั่นมองฟ้าก่อนมองเหมือง สีกลิ่นอายแห่งความตายที่หนักหน่วงก่อนนี้เริ่มสลายไป เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ยังไม่ถึงที่สุด จะต้องมีวิธีแน่!”
ดังนั้นเฉาชั่นจึงรีบกลับบ้าน
เมื่อเข้าประตูบ้านไป เฉาชั่นเห็นเฉาเสวี่ยเคอกำลังเล่นตุ๊กตากระต่ายหูหายหนึ่งข้างตัวนั้นอยู่ในลานบ้าน เฉาชั่นพุ่งเข้าไปโดยแทบจะไม่หยุด กอดเฉาเสวี่ยเคอไว้ หอมแก้มทีหนึ่ง หมุนตัวอยู่กับที่สามรอบ เฉาเสวี่ยเคอส่งเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงินไม่หยุด…
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะลูกสาว หลี่เซียงจึงเดินออกมาพร้อมพูดขึ้น “เสวี่ยเคอ มีอะไรทำไมดีใจขนาดนั้น? หืม? เหล่าเฉา วันนี้…ทำไมคุณกลับมาเร็วจัง”
“สายไฟที่เหมืองขาด เบื้องบนเหมือนจะมีการตรวจสอบด้วยเลยหยุดงานชั่วคราวหนึ่งวัน ผมกลับมาทันทีเลย” เฉาชั่นยิ้ม แม้อาการป่วยของลูกจะยังไม่หายดี ทว่าเฉาชั่นที่ตายไปแล้วหนึ่งครั้ง ผ่านการจากลาเป็นตาย และได้สัมผัสความเจ็บปวดเมื่อมองเห็นแต่พบกันไม่ได้แล้ว เขาจึงเห็นคุณค่าของทุกอย่างตรงหน้าเป็นพิเศษ ทุกอย่างนี้งดงามมากในสายตาเขา!
หลี่เซียงเห็นเฉาชั่นยิ้ม จึงถามด้วยความประหลาดใจ “คุณไม่เป็นอะไรนะ?”
“ไม่เป็นไรสิ เอาล่ะ เสวี่ยเคอ ไป! พ่อจะพาลูกไปพบคนคนหนึ่ง!” เฉาชั่นพูดจบก็อุ้มเฉาเสวี่ยเคอออกจากบ้านไป
หลี่เซียงตามมา ถามว่า “เหล่าเฉา…คุณ…ไม่เป็นไรจริงๆ นะ?”
“ไม่เป็นไรๆ เหอะๆ…” เฉาชั่นมีความสุขมากจริงๆ โบกมือแล้วอุ้มลูกสาวจากไป เขาก็อยากหันกลับไปกอดหอมหลี่เซียงสักครั้ง แต่ลูกสาวอยู่ด้วย หนังหน้ายังไม่หนาพอจึงทำไม่ได้
“อาจารย์ ประสกคนนั้นมาอีกแล้ว” ฟางเจิ้งกำลังอ่านพุทธคัมภีร์ ก็เห็นกระรอกวิ่งเข้ามาเรียก
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “มาก็มา นายจะตื่นเต้นทำไม?”
ว่าจบ ฟางเจิ้งลุกขึ้นไปที่หน้าลานวัด
ครั้นเห็นฟางเจิ้ง เฉาชั่นพลันคุกเข่าลงแล้วเอ่ยด้วยความจริงใจ “หลวงพี่ช่วยลูกสาวผมด้วยเถอะ ขอแค่ช่วยลูกสาวผม ให้ผมเป็นวัวเป็นม้าก็ยอม”
เฉาเสวี่ยเคอเห็นพ่อเป็นแบบนี้ก็ตกใจ เธอที่เป็นคนว่านอนสอนง่ายคุกเข่าตาม
แต่ฟางเจิ้งกลับเบี่ยงตัวหลีกไป พูดยิ้มๆ ว่า “ประสก อาตมารับมารยาทแบบนี้ไม่ได้”
“เอ่อ…หลวงพี่” เฉาชั่นพูดไม่เก่งจริงๆ วิธีที่เขานึกออกได้คือมาขอให้หลวงจีนเทพรูปนี้ลงมือช่วยลูกสาว แต่ว่าอีกฝ่ายไม่รับมารยาท เท่ากับจะไม่ช่วยหรือ?
ฟางเจิ้งยิ้ม “ประสกลุกขึ้นเถอะ อาตมารักษาอาการป่วยของลูกสาวประสกไม่ได้ แต่อาตมารู้จักคนที่ช่วยได้”
“ใครครับ?” เฉาชั่นรีบถาม
ฟางเจิ้งยิ้ม “รอเดี๋ยว เธอใกล้จะมาแล้ว”
ฟางเจิ้งเอ่ยจบก็ให้เจ้าลิงดูแลเฉาชั่น ให้กระรอกเล่นเป็นเพื่อนเฉาเสวี่ยเคอ
เวลาผ่านไปทีละนิด แต่เฉาชั่นกลับมีความรู้สึกราวกับหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี เขาอยากให้คนนั้นมาถึงสักที ทั้งคาดหวังและก็กังวลนิดๆ…ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมช่วยเขา เขาควรจะทำอย่างไรดี?
ฟางเจิ้งกลับไม่รีบร้อน นั่งอยู่อ่านพุทธคัมภีร์อยู่ใต้ต้นโพธิ์อย่างสงบนิ่ง ให้แสงตะวันส่องลอดผ่านช่องระหว่างใบต้นโพธิ์ ทอดลงเป็นลายจุดๆ บนพื้น…
ตอนนี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างนอก ตามด้วยเสียงคุ้นเคย “หลวงพี่ เขาล่ะคะ?”
ต่อมาขาเรียวยาวสองข้างก็ก้าวเข้าวัดเอกดรรชนี
พอเฉาชั่นได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ มองตามเสียงไปถึงเห็นผู้หญิงสวมกางเกงขายาวสีเทา คลุมผ้าคลุมไหล่สีขาวเดินเข้ามา เธอมีเอกลักษณ์มาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา
เฉาชั่นมองฟางเจิ้งเหมือนกำลังถามว่า ใช่เธอหรือ?
ฟางเจิ้งปิดพุทธคัมภีร์ ยืนขึ้นประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกาจิ่งเหยียน ไม่ได้เจอกันนานเลย คนที่อาตมาพูดถึงคือประสกท่านนี้เอง”
จิ่งเหยียนมองเฉาชั่นด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ยื่นมือขวาออกมาด้วยท่าทีสง่า “สวัสดีค่ะ ฉันจิ่งเหยียน ตอนนี้เป็นนักข่าวประจำอำเภอซงอู่ ฉันได้ยินเรื่องของคุณมาแล้ว เดี๋ยวฉันจะจัดการทุกอย่างให้เอง”
“หา…หา? อ้อ…ครับ! ขอบคุณ!” เฉาชั่นมึนงงไปแล้ว คิดไม่ทันเล็กน้อย เขาเป็นคนงานเหมืองซื่อๆ มาทั้งชีวิต ชีวิตนี้ไม่เคยผ่านโลกอะไรมากนัก เขาเคยเห็นคำว่านักข่าวแค่ในทีวีเท่านั้น มักจะรู้สึกว่าเป็นคนที่สูงส่ง พอคนระดับนั้นเข้ามาใกล้ๆ อย่างกะทันหันจึงทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
เฉาชั่นเอามือเช็ดกับเสื้อข้างหลังตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะจับมือกับจิ่งเหยียน
จิ่งเหยียนเห็นแบบนั้นก็ชักมือกลับทันที เช็ดมือเหมือนกับเฉาชั่น แล้วจึงจับมือกับเขา
เฉาชั่นอึ้งไปอีกครั้ง แต่ก็ยิ้มตอบไป ความดีส่งต่อกันได้ เขาเคารพอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็กำลังเคารพเขา ความรู้สึกที่ได้รับความเคารพทำให้เขาสบายใจมาก
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ยิ้มน้อยๆ เขาพบว่าทุกครั้งที่เจอจิ่งเหยียนเธอจะเปลี่ยนไป ตอนเจอกันครั้งแรกมีความบ้าอำนาจเล็กน้อย โอหังว่าตนเองสูงส่ง แต่นิสัยจริงๆ ไม่ได้แย่เลย บางทีอาจมีสาเหตุมาจากฐานะของเธอ
ต่อมาจิ่งเหยียนไปบริจาค มอบให้เป็นกล่องๆ แต่ไม่รู้ว่าควรจะให้อย่างไร มีเจตนาดีแต่ไม่มีวิธีที่ดี ตอนนี้แม้เธอจะยังมีนิสัยอย่างราชินี แต่ตัวเธอกลับแผ่กลิ่นอายความเป็นกันเองอย่างหนึ่ง กิริยาท่าทางก็จะนึกถึงคนอื่นด้วยเช่นกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเป็นพ่อที่ดี” จิ่งเหยียนตอบ
“ไม่ครับ…ผมเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ช่วยลูกตัวเองไม่ได้” เฉาชั่นพูดถึงตรงนี้ก็ก้มหน้าลง
“คุณทำดีมากแล้วค่ะ ถึงคุณจะหาเงินมาให้ไม่ได้มาก แต่ความรักที่คุณมอบให้เธอมากเหมือนกับพ่อของใต้ฟ้านี้เลย กระทั่งมากกว่านั้น ถ้าคุณอนุญาต ฉันก็อยากทำข่าวหัวข้อพิเศษให้คุณ อีกอย่างฉันจะช่วยประกาศเปิดรับบริจาคทางอินเทอร์เน็ตด้วย คุณก็รู้นี่ว่าโรคโลหิตจางมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย คนทั่วไปหรือแค่คนสองคนช่วยอะไรคุณไม่ได้ แต่ถ้ารวมการช่วยเหลือจากผู้มีจิตใจดีนับไม่ถ้วน เก็บเล็กผสมน้อยเอาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ฉันเองก็ต้องรับผิดชอบจิตใจดีงามของทุกคนเหมือนกัน ดังนั้นฉันต้องเข้าใจสถานการณ์ของคุณก่อน คุณห้ามโกหก ไม่อย่างนั้นฉันจะช่วยไม่ได้นะคะ” จิ่งเหยียนพูด
“ครับ…ขอแค่ช่วยเสวี่ยเคอได้ ผมจะบอกทุกอย่างเลย” เฉาชั่นพูดด้วยความตึงเครียดนิดๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายแล้ว ฉันถามคำถามคุณก่อนข้อหนึ่ง คุณคิดว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งหล่อไหม?” จิ่งเหยียนพลันถามคำถามด้วยหน้าทะเล้น
เฉาชั่นกับฟางเจิ้งงงงัน เฉาชั่นมองฟางเจิ้งแบบงงงวย
ฟางเจิ้งถูๆ จมูก ทำหน้ามึน ทำไมถึงได้โยนมาให้เขา?
เฉาชั่นเห็นท่าทีเก้ๆ กังๆ ของฟางเจิ้งก็อดหัวเราะไม่ได้ ในที่สุดความตึงเครียดในใจก็คลายลง ตอบไปว่า “หล่อมากครับ”
จิ่งเหยียนหัวเราะเบาๆ “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ ฉันไปนั่งคุยที่บ้านคุณได้ไหม?”
เฉาชั่นพยักหน้ารัวๆ…
ตอนออกจากวัด จิ่งเหยียนหันกลับมามองฟางเจิ้งพลางถามว่า “หลวงพี่ไปด้วยกันไหมคะ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาไม่ไป สีกาก็เห็นแล้วว่าวัดนี้ไม่มีคนอยู่ไม่ค่อยดี อาตมาจะรอข่าว…”