The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 350 ไล่ตาม
วินาทีนั้น ในหัวเขามีอักษรตัวใหญ่เพิ่มขึ้นมาหลายตัว…
เขาแทบจะร้องไห้ ‘ค่าบุญกุศลฉัน!’
แต่พอเห็นอักษรหลายตัวชัดเจนแล้ว ฟางเจิ้งไม่เสียใจ กลับแย้มยิ้ม เบนสายตาไปยังพวกหลินจื่อกับเหล่าเหลียง
จากนั้นฟางเจิ้งทำสองมือประสานมุทราอย่างรวดเร็ว ชี้ไปยังหลินจื่อพลางบริกรรมคาถาเงียบๆ เกิดความคิดขึ้นในใจ ทันทีที่หลินจื่อจะยิงธนูนั้นก็พลันเงยหน้ามอง ลูกธนูพุ่งขึ้นฟ้า ทะลวงผ่านเมฆหายวับไป!
“อาจารย์ หมาสองตัวนั้น!” กระรอกร้องเรียก
ฟางเจิ้งโบกมือ กล่าวว่า “จิ้งซิน ไล่หมาสองตัวนั่นไป”
เด็กแดงรู้สึกแค่ว่าฤทธิ์กำลังท่วมท้นในร่างกาย จึงแสยะยิ้ม มีประกายเหี้ยมโหดวูบไหวในดวงตา ไม่มีใครเห็นว่าเขาทำอะไร ได้ยินเพียงเสียงเพียะๆ สุนัขสองตัวที่กำลังจะรุมล้อมร้องเสียงดังและล้มลงกับพื้น ถูกตบปากจนเลือดไหล ระหว่างที่ฝั่งหนึ่งกลิ้งหลุนๆ แม่กวางอาศัยจังหวะนี้หนีไปแล้ว
ฟางเจิ้งสั่งการ “จิ้งซิน ไปห้ามเลือดรักษาแผลให้แม่กวางนั่น”
“อาจารย์ แล้วท่านล่ะ?” เด็กแดงมองหลายคนที่กำลังโกรธอยู่ไกลๆ
ฟางเจิ้งตอบเบาๆ “อาจารย์มีวิธี”
เด็กแดงพยักหน้า ก่อนกระโจนจากไป
“อาจารย์ ตอนนี้ให้พวกเราทำอะไร?” กระรอกถาม
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “รีบหนีไปตอนที่พวกเขายังไม่เจอเราเถอะ” เอ่ยจบ ฟางเจิ้งหันกายออกวิ่ง กระรอกมึนงงแล้ว อาจารย์เป็นคนขี้กลัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร นี่ไม่สมกับนิสัยของเขาเลย!
คนอื่นมองฟางเจิ้งเป็นไต้ซือเจิดจรัส สุภาพอ่อนโยนน่ารังแก แต่กระรอกเข้าใจว่าฟางเจิ้งไม่ใช่ไต้ซือที่ฉลาดและมีเมตตา แต่เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนมากกว่า แค่คลุมชุดคลุมไต้ซือผู้สุภาพไว้ก็เท่านั้น ทว่ากระรอกชอบฟางเจิ้งแบบนี้ ไม่เปลี่ยนตัวเองเพราะคนใดหรือเรื่องใด ยังคงรู้ว่าตนกำลังทำอะไร คิดอะไร อยากจะทำอะไร
เจ้าลิงเคยถามฟางเจิ้ง ตอนนั้นเด็กแดงนั่งแปลให้อยู่ข้างๆ กระรอกเลยฟังเข้าใจดี
ลิงถามว่า ‘อาจารย์ ทำไมหลวงจีนวัดเมฆาขาวร้อยรูปถึงเป็นแบบเดียวกันหมด ไม่ทำหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ก็ดูหมิ่นคนอื่น แต่ทำไมพอเป็นท่าน ถึงเหมือนชาวบ้านตรงเชิงเขามากกว่า?’
ตอนนั้นฟางเจิ้งกำลังกินเมล็ดสนของกระรอก กินไปพลางตอบไปพลางว่า ‘พวกเขาศึกษาพุทธคัมภีร์ทุกคืนวัน มีหลวงจีนไป๋อวิ๋นเป็นแบบอย่าง หรือไม่ก็มีหลวงจีนนักรบเป็นเป้าหมาย ดังนั้นพระธรรมที่ศึกษามาจึงเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นแบบนั้น ส่วนอาจารย์กับอาจารย์ของอาจารย์ถือว่าเป็นอีกแบบในนั้นล่ะมั้ง อาจารย์ปู่ของนายเคยบอกไว้ว่า เนื้อหาพระธรรมมีร้อยสาย พุทธมีพันด้าน และก็มีพุทธพันชนิด คนเองก็เช่นกัน พุทธคัมภีร์เพียงแค่ทำให้นายเห็นตัวเองชัดเจน เข้าใจจิตใจตัวเอง เป็นตัวของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่กลายเป็นคนอื่น หรือกลายเป็นอย่างพุทธในความคิดตน…
อาตมาก็คิดแบบนี้ ดังนั้นถึงอาตมาจะอ่านคัมภีร์เหมือนกัน แต่สิ่งที่คิดถึงไม่ใช่พระพุทธเห็นว่าควรทำอย่างไร แต่เป็นเราควรทำอะไร ทำอย่างไร ถึงจะปฏิบัติตามเจตนาเดิมของตนได้ ไม่ใช่คิดว่าพระพุทธน่าจะทำอย่างไร อาจารย์ฝึกฝนตัวเอง แต่พวกเขาฝึกปฏิบัติธรรม
ยกตัวอย่างให้ง่ายขึ้นคือ พวกเขาใช้แม่พิมพ์หลอมออกมาเป็นพุทธ แต่อาตมาเหรอ…เดาว่าชีวิตนี้คงไม่เกี่ยวกับพุทธหรอก’ ฟางเจิ้งนึกถึงค่าบุญกุศลมากโขของตนแล้วก็เอ่ยเศร้าๆ
กระรอกแหงนหน้ามองฟางเจิ้ง ประกายวาววูบผ่านในดวงตา พึมพำในใจว่า ‘ทำตัวเอง ทำตัวเอง…ถ้าอย่างนั้นเราจะสำเร็จอรหันต์ได้ยังไง?’ วินาทีนั้น มีความคิดมากมายวาบผ่านในหัวกระรอก…
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าออกมาครั้งนี้ เจ้ากระรอกได้คิดอะไรมากมาย ในความทรงจำของเขา กระรอกน่าจะเป็นพวกกิน นอน หาของกิน กิน นอน หาของกิน กิน นอน…ถูกขโมย โกรธ…วนไปแบบนี้ ในหัวไม่น่าจะใคร่ครวญปัญหาทางธรรม
เหล่าเหลียงทางด้านหลังเห็นหลินจื่อยิงธนูขึ้นฟ้า ก็พูดด้วยน้ำเสียงถากถาง “หลินจื่อ ฉันให้นายยิงกวาง จะยิงฟ้าทำไม?”
หลินจื่อพูดด้วยหน้าแดงนิดๆ “ฉันก็ไม่รู้ คงออกแรงพลาดมั้ง กวางล่ะ?”
“หนีไปแล้ว” เหล่าเหลียงสงสัยเช่นกัน หลังจากสุนัขสองตัววิ่งไปแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“หนีไปแล้ว? หมานายล่ะ?” หลินจื่อรู้ดี อย่ามองว่าในมือเหล่าเหลียงมีปืนไฟประดิษฐ์ สมบัติล้ำค่าที่แท้จริงของเขาคือประสบการณ์ การวางกับดัก และสุนัข! ปืนนั่นส่วนใหญ่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวกับยิงนกอะไรพวกนี้ ถ้าล่าสัตว์จะยิงให้เหยื่อบาดเจ็บแล้วให้สุนัขไล่ตามไป ถ้าเหยื่อไม่ตายก็ยิงขา ในสถานการณ์ที่เหยื่อวิ่งไม่เร็วจะถูกสุนัขกัดจนตาย หรือไม่ก็ถูกทรมานจนหมดเรี่ยวแรงแล้วโดนเหล่าเหลียงยิงตายระยะประชิด…
เหล่าเหลียงมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ไม่มีเหยื่อใดรอดจากปากสุนัขของเขาได้ แต่ว่า…
ขณะหลินจื่อกำลังสงสัย สุนัขสองตัววิ่งกลับมา หน้าครึ่งหนึ่งบวม ก้มหัวต่ำลง ร้องครางเอ๋งๆ เหมือนกำลังฟ้อง
เหล่าเหลียงมองแวบเดียว ก็ปวดใจจนสีหน้ามืดทะมึน ตะโกนด้วยความโกรธว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เนื่องจากมุมมองและความสนใจ พวกเขาจึงมองไม่เห็นฟางเจิ้งกับเด็กแดง เขาล่าสัตว์มาหลายปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์พิลึกแบบนี้มาก่อน สุนัขสองตัวถูกตบตีหน้าบวมอย่างน่าประหลาด!
“คงไม่ใช่กวางถีบเอาหรอกนะ?” หลินเหล่ยพึมพำ
“เป็นไปไม่ได้ กวางถีบพวกมันไม่ได้ ต่อให้ทำได้ก็ไม่บาดเจ็บแบบนี้” เหล่าเหลียงตอบอย่างมั่นใจมาก
“เหล่าเหลียง แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” หลินจื่อถาม
“ตามไปดูก็รู้เอง ใครกล้าทำหมาฉัน ฉันจะเอาชีวิตมัน!” เหล่าเหลียงตะโกนเสียงต่ำด้วยความโกรธ สุนัขสองตัวนี้คือชีวิตจิตใจของเขา ใครกล้าทำมัน เขากล้าฆ่าจริงๆ!
ระหว่างพูดอยู่นี้ เหล่าเหลียงวิ่งออกไปแล้ว ฝีเท้าเร็วราวเหาะเหิน! สุนัขสองตัวมีเจ้านายหนุนหลังแล้วก็เปลี่ยนมาโหดเหี้ยมทันที พุ่งออกไปขณะเห่าเสียงดัง
เซี่ยเหมิ่งเข้าไปกระซิบข้างหูหลินจื่อ “เถ้าแก่ หมานั่นไม่เหมือนถูกกวางถีบ แต่เหมือนถูกคนตีเลย”
“เป็นไปได้ยังไง?” หลินจื่อเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ
หลินเหล่ยเสริม “พี่เหมิ่ง ไม่ใช่มั้ง? ผมดูอยู่ตลอดนะ เห็นหมาสองตัวนั่นกระโดดเข้าไปในพุ่มหญ้าแล้วก็กลิ้งออกมา คนอะไรจะโหดขนาดนั้น ตบทีเดียวหมากระเด็นออกมาเลย?”
เซี่ยเหมิ่งพูด “ฉันก็ไม่รู้ แต่จากประสบการณ์ รอยแผลนั่นมาจากฝีมือคนแน่”
“พี่เหมิ่ง พี่ไม่ได้เป็นทหารรับจ้างมานานแล้ว ตาฝาดรึเปล่า คนเหรอ พี่เห็นเงาคนไหม? ที่นี่นอกจากพวกเราแล้วจะมีใครอีก คงไม่ใช่ผีหรอกนะ…” พอพูดถึงผี หลินเหล่ยตัวสั่นขึ้นมา
หลินอิ๋งต่อว่า “พูดบ้าอะไรน่ะ?”
เซี่ยเหมิ่งมองหลินจื่อ หลินจื่อตบๆ บ่าเซี่ยเหมิ่งพลางบอก “เอาเถอะ อย่าสนเลยว่าใครทำ ตามไปดูก็รู้เอง”
เซี่ยเหมิ่งเงียบไป เขาเพียงแค่เตือน ส่วนผู้ว่าจ้างจะเชื่อหรือไม่เขาขี้เกียจจะเถียง เขามองออกว่าถ้าเป็นในป่าหลินจื่อเชื่อใจเหล่าเหลียงมากกว่าเขา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาเพียงต้องดูแลความปลอดภัยของพวกหลินจื่อก็พอ เรื่องอื่นขี้เกียจจะไปสนใจ
คนพวกนี้คุยกันเสร็จก็ตามเหล่าเหลียงไป
ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว พวกเขาจึงทิ้งระยะห่างจากเหล่าเหลียงมานาน ได้แต่ไล่ตามทิศทางที่เหล่าเหลียงจากไป