The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 354 แสนปี
ขณะหรี่ตาลง เหลียงเฉิงหู่มองหลวงจีนหัวโล้นตรงหน้า ถามนิ่งๆ ว่า “นานเท่าไรแล้ว?”
ฟางเจิ้งยิ้มบางๆ “ประสกถามตอนอยู่ที่ไหน?”
“ในนั้น” เหลียงเฉิงหู่ตอบ
“หนึ่งแสนปี” ฟางเจิ้งว่า
“ข้างนอกล่ะ?” เหลียงเฉิงหู่ถามอีก
ฟางเจิ้งตอบ “หนึ่งวินาที”
ไม่ผิด นี่ต่างหากคือจุดที่น่าสะพรึงอย่างแท้จริงของประตูนรก หนึ่งความคิดเป็นพันเป็นหมื่นปี เป็นการทรมานชั่วนิรันดร์!
เหลียงเฉิงหู่ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว เขารู้ว่าถ้าหลวงจีนตรงหน้าต้องการ ขังเขาไปอีกหลายวินาที เขาต้องขึ้นสวรรค์จริงๆ แน่ แม้จะแค่นี้ เขาก็ยังใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าโกรธหรือใช้คำพูดร้ายกาจอีก
ฟางเจิ้งกล่าวว่า “จิ้งซิน ปล่อยสุนัขสองตัวนั้นเถอะ”
เด็กแดงตบหัวสุนัขใต้หว่างขา ก่อนกระโดดลงมา สุนัขสองตัวรีบวิ่งมาอยู่ข้างเหลียงเฉิงหู่
เหลียงเฉิงหู่คุกเข่าอยู่บนพื้น ลูบหัวสุนัขสองตัวนั้นพลางเอ่ย “หลายปีมานี้ ขอบคุณพวกแกด้วยนะ จากนี้พวกเรามาเปลี่ยนวิถีชีวิตกันเถอะ…ฉันติดหนี้ภูเขาใหญ่ลูกนี้ไว้มาก ชีวิตที่เหลือจะขอชดใช้หนี้แล้วกัน เหลียงเฉิงหู่ตายไปแล้ว จากนี้ฉันชื่อเหลียงเจ๋อเชวียน” เมื่อก่อนเหลียงเฉิงหู่ชื่อว่าเหลียงเจ๋อเชวียน มีคนรู้จักชื่อนี้ไม่มาก หลินจื่อนับเป็นหนึ่งในนั้น ต่อมาเหลียงเจ๋อเชวียนคิดว่าชื่อนี้บ้าอำนาจไม่พอ เสริมรัศมีของราชาบ้าอำนาจแห่งป่าพงไพรให้เด่นไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป็นเหลียงเฉิงหู่ จากนั้นมาเขาเริ่มทำลายชีวิตของภูเขาทงเทียน ตอนนี้เปลี่ยนกลับแล้ว ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่แน่วแน่ กลับเนื้อกลับตัวหมดใจ
สุนัขสองตัวไม่เข้าใจว่าเหลียงเฉิงหู่กำลังพูดอะไร แต่สัมผัสได้ว่าบรรยากาศไม่ถูกต้องนิดๆ เห่าเสียงเบาพลางใช้หัวถูแขนเหลียงเฉิงหู่ เหมือนกำลังปลอบใจเขา
ฟางเจิ้งเอ่ย “ประสก จากนี้จะเอายังไงเหรอ?”
“ผมติดหนี้ภูเขาใหญ่ไว้มากเกินไป เมื่อก่อนผมเป็นพวกลักลอบล่าสัตว์ จากวันนี้ไป ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ปกป้องภูเขาลูกนี้ บางทีกำลังของผมอาจจะมีขีดจำกัด แต่ว่าก็ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน” เหลียงเฉิงหู่ตอบ
ตอนนี้เอง เสียงตะโกนของหลินจื่อดังแว่วมาจากไกลๆ “เหล่าเหลียง นายอยู่ไหน?”
เหลียงเฉิงหู่มองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในป่า พูดจากไกลๆ ว่า “อมิตาพุทธ ยินดีด้วยที่ประสกวางดาบลง อาตมาขอลาเหมือนกัน”
ฟางเจิ้งไปแล้ว ไม่นาน หลินจื่อ หลินเหล่ย หลินอิ๋งและเซี่ยเหมิ่งก็วิ่งเข้ามา
“เหล่าเหลียง มันเกิดอะไรขึ้น?” หลินจื่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอวิ่งมาก็ถามด้วยความเป็นห่วง
เหล่าเหลียงเงยหน้ามองฟ้า บอกว่า “ไม่มีอะไร หลินจื่อ พวกเรารู้จักกันมานานเท่าไรแล้ว?”
“สามปีมั้ง นายถามทำไม?” หลินจื่อกังวลแล้ว
เหล่าเหลียงถอนหายใจ “เมื่อก่อนฉันรู้จักแต่การก่อเวรก่อกรรม สามปีที่ผ่านมานี้สร้างบาปกรรมอย่างบ้าคลั่ง มิน่าถึงต้องรับโทษแสนปี ไม่ถือว่าถูกเอาเปรียบ”
“รับโทษอะไรแสนปี?” หลินจื่องงนิดๆ
เหล่าเหลียงบอกว่า “หลินจื่อ จากนี้ลักลอบล่าสัตว์ให้น้อยลงเถอะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะล้างมือ ต่อไปนี้จะไม่มีนักล่าเหล่าเหลียงบนเขานี้อีก จะมีเพียงเหล่าเหลียงที่ปกป้องป่าเท่านั้น ถ้านายมาลักลอบล่าสัตว์อีก ปืนล่าสัตว์กับสุนัขล่าเนื้อของฉันจะไม่มีตาด้วย ถือว่าเป็นเพื่อนกัน นี่คือคำแนะนำจากฉัน” พูดจบ เหล่าเหลียงก็หันกลับเดินไป
“เหล่าเหลียง นายพูดอะไรวะ?” หลินจื่องงจริงๆ ไม่ได้เจอกันครู่เดียว ทำไมเหล่าเหลียงเหมือนกลายเป็นคนละคนได้? เหล่าเหลียงผู้เหี้ยมโหดก่อนหน้านี้ล่ะ?
เหล่าเหลียงกลับเดินไปโดยไม่หันมามอง เดินไปพลางเอ่ยว่า “เชื่อฉัน นายตายด้วยปืนฉันสบายกว่าเข้าไปที่นั่น กลับเมืองไปเป็นคุณชายใหญ่เถอะ อย่ามาอีกเลย…”
คำพูดเหล่าเหลียงยังคงดังก้องในหูหลินจื่อ แต่คนเดินจากไปไกลแล้ว จากวันนี้ไปภูเขาจะไม่มีเหล่าเหลียงผู้สร้างหายนะรอบทิศ แต่จะมีเหลียงเฉิงหู่ผู้ปกปักป่าให้ฟรีๆ แทน เหลียงเฉิงหู่พาสุนัขใหญ่สองตัวไล่พวกลักลอบล่าสัตว์ไม่รู้กี่คน ทว่าเมื่อมีคนยกย่องเขาเป็นดั่งวีรบุรุษ เขาเพียงตอบกลับเรียบๆ ว่า ‘ฉันเป็นแค่นักโทษที่กำลังไถ่บาป เป็นวีรบุรุษตรงไหน?’
หลินจื่อขมวดคิ้วแน่น เขาไม่เข้าใจว่าในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าเหลียงกันแน่ ไม่มีเหล่าเหลียง ก็หมายความว่าส่งผลต่อธุรกิจของเขาอย่างหนัก! นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากประสบอย่างเด็ดขาด! โดยเฉพาะครั้งนี้ เขาได้รับใบสั่งซื้อครั้งใหญ่ ถ้าสำเร็จ ผลประโยชน์จะไม่ใช่แค่เงินเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นยังมีผลประโยชน์อีกมาก! ดังนั้นเขาจึงมีเหตุผลต้องทำให้สำเร็จ…เดิมทีมีเหล่าเหลียงช่วยเลยมั่นใจเรื่องนี้มาก ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น เขาเลยกังวลจริงๆ แล้ว ขืนไม่สำเร็จ จะต้องจ่ายค่าผิดสัญญาจำนวนไม่น้อยทีเดียว…
ตอนนี้เอง เซี่ยเหมิ่งเอ่ยเสียงหนักว่า “หน้าอีกด้านของหมาสองตัวนั่นถูกตบจนปูดเลย แถมแววตามีแต่ความหวาดกลัว เหล่าเหลียงน่าจะเจออะไรบางอย่างเข้า…”
“พี่เหมิ่ง อย่าทำให้ผมกลัวสิ ในป่าเหมือนจะมีแค่พวกเรานี่? พวกเราไม่ได้ทำ หรือว่า…” หลินเหล่ยพูดถึงตรงนี้ก็ตัวสั่นงันงก
หลินจื่อมองค้อนหลินเหล่ยทีหนึ่ง “เหลาเหมิ่ง นายพูดมาเลยดีกว่า ที่นี่ยังมีคนอื่นอีกไหม”
เซี่ยเหมิ่งพยักหน้าตอบ “มีแน่นอน ไม่อย่างนั้นเหล่าเหลียงไม่น่าจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ อีกฝ่ายแกร่งมาก…เถ้าแก่ ถ้าเป็นไปได้ พวกเราออกจากที่นี่กันจะดีกว่า ผมคิดว่ามีคนกำลังจับตาดูพวกเราอยู่…”
เซี่ยเหมิ่งพูดจบก็เงยหน้ามองต้นไม้รอบๆ น่าเสียดาย นอกจากกระรอกตัวหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรพิเศษ
“เหล่าเหมิ่ง นายลืมเป้าหมายที่ฉันจ้างนายมาแล้วเหรอ ฉันไม่ได้ให้นายมาบอกฉันว่าควรออกไปตอนไหน แต่ให้นายแก้พวกปัญหาที่จะให้ฉันออกจากที่นี่ ในเมื่อมีคนอยากก่อกวน นายก็จัดการมันให้ฉันซะ! ส่วนเหล่าเหลียง เดี๋ยวฉันจัดการเอง” หลินจื่อพูด
เซี่ยเหมิ่งตรึกตรองหลายสิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบกลับ “อีกฝ่ายอยู่ในเงามืด ผมหาไม่เจอเหมือนกัน”
“อันนี้ง่าย ในเมื่อเขาหยุดเหล่าเหลียงล่าสัตว์ได้ แสดงว่าแค่พวกเราล่าสัตว์ต่อไป และบ้ากว่าเดิม เขาจะต้องออกมาแน่!” หลินจื่อกล่าว
“แต่ว่าผมไม่ชำนาญป่าที่นี่ ไม่คุ้นเคยนิสัยสัตว์ ถ้าไม่ให้เวลาหนึ่งเดือน ผมชำนาญแบบเหล่าเหลียงไม่ได้หรอก” เซี่ยเหมิ่งตอบ
“ไม่เป็นไร พวกเรายังมีเวลา ฉันล่าสัตว์ นายคอยดูอยู่ข้างๆ ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็หาไอ้ตัวก่อกวนนั่นมาให้ฉัน! จากนั้นนายน่าจะเข้าใจความหมายของฉัน ในภูเขาใหญ่แบบนี้ หกล้มขาหักก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมล่ะ?” หลินจื่อพูด
เซี่ยเหมิ่งเงียบไป เขาฆ่าคนได้ ฆ่าสัตว์ก็ย่อมได้…แต่เซี่ยเหมิ่งก็ยังส่ายหน้า “เถ้าแก่หลิน ผมเป็นแค่หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของคุณ ผมรับผิดชอบเพียงความปลอดภัยของคุณ อย่างอื่นต้องขออภัยด้วย”
“พี่เหมิ่ง ทำไมพี่หัวแข็งแบบนี้ล่ะ พี่ผมให้ทำอะไรก็ทำก็จบแล้วนี่? เขาเป็นเถ้าแก่ พูดอะไรพี่แค่ทำตามไปก็สิ้นเรื่อง?” หลินเหล่ยพูด
เซี่ยเหมิ่งชำเลืองตามองหลินเหล่ยแวบหนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า “ผมมีกฎของผม ผมไม่ทำเรื่องฝ่าฝืนกฎ ไม่อย่างนั้นผมจะกลับประเทศไม่ได้…” พูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาเซี่ยเหมิ่งมีประกายความทะนงตนซึ่งเป็นของตัวเองวาบผ่าน