The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 358 เด็กชาย
กระรอกมองไกลออกไปอีก ก่อนส่ายหน้าบอก “มีแค่ฟ้าครามกับเมฆขาว ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“ใช่แล้ว ไม่มีอะไรเลย แต่ท่านจำกัดทั้งหมดนี้ลงมา เติมอาจารย์เข้าไป แล้วมองดูอีกที รู้สึกอะไรหรือไม่?” กระรอกเงยหน้ามอง ผ่านไปหนึ่งนาที สองนาที สามนาที…
เด็กแดงรำคาญแล้ว จึงพูด “เห็นอะไรหรือไม่กันแน่”
กระรอกตอบ “ศิษย์น้อง เงยคอนานไป คอเป็นตะคริวแล้ว ช่วยที”
เด็กแดงพูดไม่ออก
“เอาล่ะ บอกมาว่าท่านเห็นอะไร” เด็กแดงช่วยกระรอกคลึงเส้นเอ็นตรงคอแล้วจึงถาม
กระรอกพูด “ไม่เห็นอะไรเลย คือว่า…เหมือนอาจารย์จะหลับด้วย”
เด็กแดงหัวเสียแล้ว
กระรอกกล่าว “เฮ้ย ศิษย์น้อง นายรู้นี่ว่าฉันโง่ รีบๆ บอกมาเถอะ มีความลับอะไรกันแน่?”
เด็กแดงถอนหายใจ “ท่านนี่ มองไม่ออกจริงๆ หรือ หินนี่อยู่ระหว่างกลางธารน้ำ เหมือนกับเสาเอกกลางน้ำ! ข้างหลังเป็นน้ำตก บนยอดน้ำตกมีหินยักษ์ ข้างหินยักษ์มีต้นไม้โบราณที่ประหลาดแต่น่ามอง ในฟ้าครามมีเมฆหลายก้อนเคลื่อนคล้อย พอมีหลวงจีนถือลูกประคำถือนั่งขัดสมาธิอย่างสงบนิ่งแล้ว ท่านไม่คิดว่านี่คือม้วนภาพที่มีกลิ่นอายฌานสมาธิมากรึ?”
“คล้ายๆ จริงด้วยสิ…แต่ว่านี่มันมีประโยชน์อะไร?” กระรอกถามด้วยความไร้เดียงสา
เด็กแดงเงยหน้า เอ่ยด้วยท่าทีลึกลับยากจะคาดเดา “มี มีแน่นอน! ทั้งยังมีประโยชน์มากด้วย!”
“มีประโยชน์ยังไง?” กระรอกถามต่อ
“เสแสร้งไง!” เด็กแดงกล่าวทีละคำ
กระรอก “#¥%…”
ความจริงแล้วฟางเจิ้งกำลังเสแสร้งอยู่จริงๆ แถมยังเลียนแบบคนโบราณ คนคนนั้นมีชื่อว่าเจียงจื่อหยา[1] เพียงแต่เจียงจื่อหยาหลอกเหวินหวัง ส่วนเขาหลอกคนธรรมดา
ฟางเจิ้งเข้าฌานแล้ว แม้เด็กแดงจะรู้สึกว่าฟางเจิ้งกำลังเสแสร้ง แต่เมื่อเป็นศิษย์เลยได้แต่ช่วยฟางเจิ้งหลอกลวง ดังนั้นเด็กแดงจึงมาข้างหินใหญ่ นั่งขัดสมาธิลงเช่นกัน ไม่ได้บำเพ็ญเพียรตระหนักรู้ธรรม แต่เหม่อลอย
กระรอกมานั่งบนหินก้อนเล็กข้างเด็กแดง เลียนแบบท่าทางของฟางเจิ้ง ก็มีความคล้ายคลึงอยู่หลายส่วน…เพียงแต่ว่าไม่นานก็ส่งเสียงกรนเบาๆ
เด็กแดงมองค้อนทันที ทำหน้ารังเกียจ!
…….
“พี่เหมิ่ง พวกเราจะไปไหน?” หลินเหล่ยที่กลัวนิดๆ มาตลอดตามอยู่ข้างหลัง ถามไปถามมา ในมือยังหิ้วนกฮาเซลเกราซ์ร่างแปลงของหลินจื้อเฉิงไว้ เพียงแต่ว่าจะถือแบบสบายๆ หลินจื้อเฉิงรู้สึกว่าปีกเขาใกล้จะถูกบิดจนหักแล้ว! ระหว่างทางด่าหลินเหล่ยไปหลายครั้ง ผลคือถูกเคาะหัวหลายที ถึงได้เข้าใจว่าหลินเหล่ยไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร ต่อจากนั้นจึงได้แต่เงียบเพื่อลดการทรมานเนื้อหนังลง
เซี่ยเหมิ่งหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ย “อีกฝ่ายเดินมาทางนี้ ส่วนไปทางไหนฉันเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว…” เซี่ยเหมิ่งพูดพลางมองฟางเจิ้งที่นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่! จากมุมนี้จะเห็นฟางเจิ้งนั่งอยู่ใต้น้ำตกพอดี ราวกับคนและฟ้ารวมเป็นหนึ่งเดียว เบื้องหลังเป็นดวงตะวัน แสงตะวันส่องลงมา สะท้อนออกจากด้านหลังศีรษะของฟางเจิ้ง แสบตาดั่งแสงแห่งพุทธ ทำให้มองเห็นใบหน้าฟางเจิ้งไม่ชัดเจน แต่เมื่อประกอบกับฉากหลัง แสงตะวัน และเสื้อผ้าแล้ว กลับเป็นม้วนภาพที่มีกลิ่นอายฌานสมาธิมาก
“หลวงจีน?” หลินเหล่ยอึ้งงัน
นัยน์ตาหลินอิ๋งพลันเปล่งประกาย เธอเปลี่ยนมุมมอง จึงเห็นชัดว่าเป็นหลวงจีนที่หล่อเหลาและงดงามมาก! น่าเสียดายที่หลับตาอยู่ ไม่รู้ว่าลืมตาแล้วจะมีบุคลิกอย่างไร แต่ว่าตอนนี้เอง ม้วนภาพที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายฌานสมาธินี้ปลุกปั่นจิตใจเด็กสาวของเธอเสียแล้ว แปลกมาก ทำไมหลวงจีนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แน่นอน ที่มากกว่านั้นคืออยากถามหลวงจีนรูปนี้ว่าเห็นหลินจื้อเฉิงพี่ชายของเธอหรือไม่
ทว่าคนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากที่สุดคือหลินจื้อเฉิงในกำมือหลินเหล่ย เขามองปราดเดียวก็รู้ฐานะฟางเจิ้งแล้ว! คนที่แค่เคลื่อนความคิดก็เปลี่ยนเขาเป็นนกฮาเซลเกราซ์ได้ นี่ไม่ใช่คน! นี่คือเทพ คือพระพุทธองค์ที่มีชีวิต! ถ้าจะเปลี่ยนกลับก็ต้องไปหาเขา! หลินจื้อเฉิงจึงอยากดิ้นให้หลุดจากมือหลินเหล่ย แล้วไปขอร้องให้ฟางเจิ้งเปลี่ยนตนกลับไป
แต่ช่วยไม่ได้ หลินเหล่ยจับแน่น พอเขาดิ้น ก็ใช้เชือกเส้นหนึ่งมัดปีกเขาไปข้างหลัง ก่อนมัดแบบกระดองเต่าซ้ำไปอีก…เวลานี้เขาอยากร้องไห้ทว่าไม่มีน้ำตา ร้องตะโกนไร้เสียง ไร้ที่พึ่งและสิ้นหวังในใจ…
เซี่ยเหมิ่งต่างออกไป เขามั่นใจมากว่าหลวงจีนนี่คือคนที่เขาตามหา! ปลดอาวุธหลินจื้อเฉิงได้อย่างเงียบเชียบ เอ่ยไม่กี่คำโน้มน้าวเหล่าเหลียงได้ หลวงจีนนี่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน! ดังนั้นเซี่ยเหมิ่งจึงแอบกำมีดไว้แน่น เดินเข้าไปเงยหน้าถามฟางเจิ้งว่า “หลวงพี่ ท่านเห็นคนเดินผ่านมาจากตรงนี้ไหม?”
แต่ฟางเจิ้งไม่ลืมตา กระทั่งไม่มีการเคลื่อนไหว ราวกับภิกษุชราเข้าฌาน
เซี่ยเหมิ่งขมวดคิ้วแน่น ขณะจะเอ่ยต่อกลับได้ยินเสียงเด็กน้อยดังแว่วมาจากข้างหลังหิน “ประสกท่านนี้ อาจารย์กำลังบำเพ็ญเพียร ถ้าไม่มีอะไรขออย่าส่งเสียงรบกวน” ตามด้วยเด็กน้อยสวมตู้โตวสีแดง เปลือยก้นเดินออกมาจากข้างหลังหิน ตรงคอ มือ และเท้าสวมกำไลทอง มีจุดสีแดงตรงหว่างคิ้วเหมือนเด็กแดงในตำนานอย่างยิ่ง สองมือเขาประนม มีท่าทีคล้ายนักบวชน้อยอยู่มาก
เดิมทีเด็กแดงก็น่ารักเหมือนรูปปั้นหยกเนียนละเอียด ตอนนี้แสดงความฉลาด ย่อมน่ารักเป็นที่สุด
หลินอิ๋งมองเด็กแดงด้วยดวงตาเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม ร้องอยู่ในใจว่า ‘เด็กนี่สง่างามมาก! น่ารักมาก’
หลินเหล่ยพูดเสียงเบาว่า “ป่าเขารกร้างแบบนี้เด็กนี่มาจากไหน คงไม่ใช่ปีศาจหรอกนะ?”
หลินอิ๋งมองค้อนเขาทีหนึ่ง “แกดูไซอิ๋วเยอะไปแล้วมั้ง?”
อีกด้าน เซี่ยเหมิ่งก็ไม่คิดเลยว่าจะมีเด็กอยู่ใกล้ๆ เอ่ยพลางแสดงความเคารพกลับ “ที่แท้ก็ยังมีนักบวชน้อยอีกท่าน ขอถามหน่อยครับ ท่านเห็นคนเดินผ่านตรงนี้ไหม หรือมีบางสิ่งพาใครผ่านมาหรือเปล่า”
เด็กแดงยิ้มเล็กน้อย “ประสก ที่ประสกพูดถึงคือนกอินทรีใหญ่ปีกทองคาบคนบินผ่านไปหรือ”
“เจ้าหนูนี่ทำไมพูดจาไร้สาระแบบนี้ มีอินทรีใหญ่ปีกทองด้วยเหรอ ทำไมไม่บอกว่ามีซุนหงอคงเลยล่ะ?” หลินอิ๋งขบขัน
เด็กแดงกะพริบตาให้หลินอิ๋ง ก่อนเอ่ย “สีกาท่านนี้ สีกาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วจะถามเราทำไม?”
หลินอิ๋งงุนงงไปแล้ว…
เซี่ยเหมิ่งพูด “นักบวชน้อย ท่านไม่เห็นจริงๆ เหรอ”
เด็กแดงส่ายหน้า “ไม่เห็น แต่เราเพิ่งมา ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มีใครผ่านหรือไม่ ถ้าจะถามจริงๆ ก็ถามอาจารย์ของเราเถอะ แต่อาจารย์กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ ตอนนี้รบกวนไม่ได้ ถ้าจะถามก็รอก่อน…อ้อ นึกออกแล้ว อาจารย์เคยบอกว่าถ้ามีคนมาถามก็ให้เขารอ”
เซี่ยเหมิ่งจะพูดบางอย่าง แต่เด็กแดงเอ่ยในฉับพลัน “อาจารย์ของเราไม่ชอบให้คนอื่นรบกวนการบำเพ็ญเพียรของท่านที่สุด ดังนั้นถึงได้มาบำเพ็ญเพียรในป่าเขา ถ้าทุกท่านรบกวนเขา ก็อย่าคิดถามเรื่องใดเลย”
……………………………………..…………..
[1]เจียงจื่อหยา เกียงจูแหย หรือที่รู้จักในชื่อเจียงไท่กง เป็นนักยุทธศาสตร์คนสำคัญของโจวเหวินหวังและโจวอู่หวัง ผู้นำในการก่อรัฐประหารเพื่อล้มล้างราชวงศ์ซางและสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้นมา มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 3,000 กว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการหลายสำนักลงความเห็นว่าเจียงจื่อหยาคือ 1 ใน 2 นักยุทธศาสตร์การสงครามที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์จีน