The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 359 ตุ๋นไก่
เซี่ยเหมิ่งกลืนคำพูดตรงริมฝีปากกลับไปทันที ด้วยความจำใจ จึงได้แต่พาหลินเหล่ยกับหลินอิ๋งไปนั่งรอข้างๆ เสียเลย ทว่าเซี่ยเหมิ่งกลับไม่อยู่เฉย เขาเดินไปรอบๆ หนึ่งรอบ มั่นใจมากว่าเบาะแสทั้งหมดขาดที่ตรงนี้แล้วถึงนั่งลงอย่างสงบ เพียงแต่แววตาที่มองฟางเจิ้งจะมีความรู้สึกเหมือนมองฆาตกรตลอด ระแวงฟางเจิ้งกับเด็กแดงมาก
เห็นดังนั้น เด็กแดงเพียงแค่ยิ้ม ก่อนอ้อมไปหลังหินก้อนใหญ่ พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ ศิษย์ทำได้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฟางเจิ้งแอบยกนิ้วโป้งให้เขา
เด็กแดงหัวเราะเบาๆ “อาจารย์ ท่านจะเสแสร้งไปนานเท่าไร นั่งนานแล้วท่านไม่ปวดก้นรึ?”
เด็กแดงไม่พูดก็แล้วไป แต่พอพูด ฟางเจิ้งรู้สึกว่าหินใต้ก้นแข็งจริงๆ นั่งครู่เดียวไม่เป็นไร แต่นั่งนานเข้าก็เจ็บก้นอยู่นิดๆ นั่งขัดสมาธินานๆ จะไม่สบายขา โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ด้านหลังศีรษะ สาดแสงจนศีรษะข้างหลังเหมือนหลอดไฟแปดสิบวัตต์ ที่สำคัญคือใกล้จะเผาฟิวส์ข้างในแล้ว…
แต่ฟางเจิ้งเข้าใจว่าจะตื่นมาตอนนี้ไม่ได้ ในเมื่อหลินจื้อเฉิงชอบทำร้ายป่าเขาขนาดนั้น เขาก็จะให้อีกฝ่ายได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ถูกทำร้ายบ้าง!
เนื้อแท้ของฟางเจิ้งไม่ถือว่าเป็นนักบวชชั้นสูงที่แท้จริง เขาไม่คัดค้านการล่าสัตว์ แต่ก็ไม่สนใจการล่าสัตว์ ทว่ากฎธรรมชาติมีวิถีของมัน ทุกสิ่งในโลกคือคุณกินฉันฉันกินเขา เป็นสมดุลอย่างหนึ่ง การที่สมดุลใดๆ ถูกทำลายล้วนไม่ใช่เรื่องดี ในมุมมองของฟางเจิ้งการฆ่าหรือกินเพื่ออยู่รอดไม่ถือว่าเป็นการทำบาป ส่วนพระพุทธจะมองอย่างไรเขาไม่รู้ เขาแค่ทำตามความคิดตัวเองก็เท่านั้น
ถ้าไม่ได้ทำเพื่ออยู่รอด แต่ล่าสัตว์อย่างบ้าคลั่งแบบไม่เหลือให้ผู้อื่น ฝลาญทำลายล้างโดยไม่มีขีดจำกัดใดๆ นี่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง โลกนี้มีสีสันก็เพราะคน แต่ถ้าเหลือเพียงคน ก็จะเหลือแต่ความสิ้นหวังเท่านั้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฟางเจิ้งอยากเห็น
ฉะนั้นฟางเจิ้งย่อมไม่เกรงใจหลินจื้อเฉิง
ฟางเจิ้งกำลังรอ เซี่ยเหมิ่งก็กำลังรอเช่นกัน เขารอฟางเจิ้งตื่นมาแล้วจะถามไถ่สถานการณ์ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะต้องหาหลินจื้อเฉิงให้เจอ นี่คือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของเขา
แต่ว่ามีคนรอจนทนไม่ไหวแล้ว หลินเหล่ยเดินไปเดินมา เอ่ยด้วยความรำคาญว่า “นี่จะต้องรอไปจนถึงเมื่อไร”
หลินอิ๋งพูดเสียงเบา “ฉันเคยอ่านในหนังสือ ไต้ซือบางท่านเข้าฌานหลายวันได้ ได้ยินว่าพระโพธิธรรมในตอนแรกก็นั่งฌานเก้าปี ถึงขนาดว่าบนหินสะท้อนเงาของเขาออกมาเลย”
“อะไรนะ?” หลินเหล่ยตกใจสะดุ้ง ชี้ฟางเจิ้งพร้อมว่า “เขาคงไม่นั่งเก้าปีหรอกนะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน ต่อให้ไม่นั่งเก้าปี นั่งแค่ครึ่งเดือน…ก็เหลือทนแล้ว” หลินอิ๋งยิ้มแห้งๆ
หลินเหล่ยอึ้งงัน เดินวนอยู่กับที่ ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเห็นนกฮาเซลเกราซ์พยายามดิ้นรนอยู่บนพื้นพยายามจะหลุดออกจากเงื่อนกระดองเต่า จึงทำเสียงหึๆ “ไก่นี่ดิ้นรนน่าดูเชียว ยังไงก็ว่างแล้ว ตุ๋นไก่กินดีไหมนะ?”
สิ้นเสียง หลินจื้อเฉิงที่นอนหมอบบนพื้นตกใจจนขนแทบลุกชัน พยายามดิ้นรนจะหนีสุดชีวิตพลางร้องเสียงดัง “หลินเหล่ย ไอ้สารเลว แกกล้าเรอะ!”
น่าเสียดาย หลินเหล่ยฟังไม่เข้าใจเลย เขาหิ้วหลินจื่อเฉิงขึ้นมามองอย่างละเอียด เอ่ยว่า “หลินอิ๋ง เธอจะกินไหม?”
“ยังหาพี่ไม่เจอเลย นายจะกินอะไร? แล้วก็นะ เมื่อก่อนนายไม่ชอบฆ่าสัตว์นี่ ทำไมแค่ขึ้นเขามาไม่กี่วันถึงกระตือรือร้นจังเลย?” หลินอิ๋งพูดอย่างไม่พอใจ
“พี่เป็นคนสอนฉันเอง เขาบอกว่าผู้ชายจะต้องเห็นเลือด คนที่ไม่เคยเห็นเลือดแต่เคยกินเนื้อไม่ถือว่าเป็นผู้ชาย! วันนี้ผ่านเรื่องหมูป่ากับกวางป่ามา ฉันว่าที่พี่ก็พูดมีเหตุผลเหมือนกัน…ถ้าผู้ชายไม่โหดบ้าง จะยืนหยัดบนโลกนี้ได้ยังไง?” หลินเหล่ยตอบ
หลินจื้อเฉิงได้ยินดังนั้น ก็อยากตบหน้าตัวเองสักสองทีจริงๆ! ตามนิสัยของหลินเหล่ยเมื่อก่อน จะต้องปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้…พอผ่านการค่อยๆ ล้างสมองจากเขามาร่วมเดือน หลินเหล่ยเหมือนจะอยากเป็นชายชาตรีจริงๆ! เคยได้ยินแต่ว่าย้ายหินแล้วหล่นใส่เท้าตัวเอง แต่ไม่เคยเห็นหล่นใส่แรงขนาดนี้ นี่คือจังหวะที่จะหล่นทับกันถึงตายเลย!
ขณะนี้ หลินจื้อเฉิงสำนึกเสียใจจริงๆ แล้ว เสียใจที่สอนสั่งหลินเหล่ยเรื่องพวกนี้ เขาได้แต่หวังพึ่งหลินอิ๋งแล้ว หวังว่าน้องสาวที่มีใจรักเอ่อล้นจะคุมหลินเหล่ยได้ จึงใช้แววตาน่าสงสารมองหลินอิ๋ง ตอนนี้หลินจื้อเฉิงรู้สึกจนปัญญา ไร้ที่พึ่ง หวาดกลัว และกระหายที่จะมีชีวิตรอดจริงๆ! เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน!
ทว่าตอนนี้หลินอิ๋งร้อนใจมากเช่นกัน หลินจื้อเฉิงเป็นตายอย่างไรไม่รู้ เซี่ยเหมิ่งก็ไม่ไปไหนอีก หลวงจีนที่อาจจะรู้ว่าหลินจื้อเฉิงเป็นตายอย่างไรก็นั่งฌานแน่นิ่ง ด้วยความร้อนใจ เธอจะมีอารมณ์ไปต่อว่าหลินเหล่ยที่ไหน?
ฉะนั้นหลินเหล่ยเลยถามหลินอิ๋งอีกครั้ง “หลินอิ๋ง ถึงยังไงก็ไม่มีอะไรทำ ไก่นี่ก็ดื้อซะด้วย ถือมันไว้เหนื่อยเปล่าๆ ฉันย่างมันดีไหม?”
“รู้จักแต่กิน! ตามสบายเลย อยากกินก็กิน!” หลินอิ๋งรำคาญจริงๆ แล้ว
ตอนนี้เอง เซี่ยเหมิ่งเงยหน้ามองฟางเจิ้ง ยกยิ้มมุมปากเบาๆ “หลินเหล่ย ถ้าย่างนกมังกรบินจะเสียของเอา ตุ๋นถึงจะอร่อยกว่า เนื้อสัมผัสสดอร่อย นุ่มลื่น เนื้อพวกนั้นที่นายกินเวลาปกติเทียบไม่ได้เลย”
หลินเหล่ยได้ยินแล้วก็พลันถอดกระเป๋าเป้ลงมา หยิบหม้อเรียบง่ายออกมาใบหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “ดีที่ผมเอามาครบเลย ฮ่าๆ…”
หลินเหล่ยไม่ได้รู้สึกกับหลินจื้อเฉิงลึกซึ้งขนาดนั้น ถึงจะเป็นพี่น้องกัน แต่ห่างกันสิบกว่าปี เดิมทีก็มีช่องว่างระหว่างวัยอยู่แล้ว หลินจื้อเฉิงโตขึ้นแล้ว มักจะชอบใช้น้ำเสียงกับแววตาของพี่ใหญ่มองเขา จับผิดข้อบกพร่องทั้งวัน สั่งสอนทุกวัน เขาอยู่ในวัยต่อต้านย่อมไม่พอใจอยู่ภายในนานแล้ว แต่จนใจว่าหลินจื้อเฉิงเป็นพี่ชายที่มือหนักเกินไป เขาแย้งไม่ได้ ได้แต่ฟังเท่านั้น…
เวลานี้หลินจื้อเฉิงไม่รู้หายไปไหน เขาไม่ร้อนใจเลย อย่างน้อยก็ไม่ร้อนใจเท่าหลินอิ๋ง ดังนั้นพอเห็นนกมังกรบิน เขาจึงไม่รีบร้อนไปหาหลินจื้อเฉิงแต่จะจับนกมังกรบิน เหตุผลคือจะให้เป็นของขวัญหลินจื้อเฉิง แต่เมื่อผ่านมาครู่หนึ่งก็เผยสันดานเดิม เขาแค่อยากกินเองก็เท่านั้น
ไม่สนว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เขาเอาน้ำล้างหม้อ วางไว้ข้างๆ ก่อนไปหาไม้แห้งมา…
ส่วนหลินจื้อเฉิงที่เขาโยนไว้บนพื้นใช้หินทับเชือกไว้ ทำให้วิ่งหนีไม่ได้ ก็ตกใจจนตัวสั่นงันงก! พึมพำอยู่ในปากว่า “ตั้งหม้อแล้วๆ…นี่กะจะฆ่ากินเนื้อฉันเหรอ!”
เขาเข้าใจขั้นตอนนี้มากนัก ตัวเขาเองก็ใช้มีดมาหลายครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขากลายเป็นคนที่ถูกฆ่าแทน!
หลินจื้อเฉิงบิดตัวไปมาไม่หยุด อยากจะหลุดจากเชือก ขณะเดียวกันยังมองหลินอิ๋งด้วยแววตาเฝ้าปรารถนาอย่างยิ่ง หวังว่าหลินอิ๋งจะห้ามน้องชายจอมโหดในช่วงเวลาสำคัญได้ และมอบหนทางรอดชีวิตให้เขา ถึงการเป็นนกฮาเซลเกราซ์จะอนาถามาก ทว่าตายดีก็สู้มีชีวิตไม่ดีไม่ได้ เขาไม่อยากตาย!
………………………………………………….…………