The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 361 หารังเถอะ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 361 หารังเถอะ
หลินอิ๋งคิดในใจ ‘มิน่าอายุแค่นี้ถึงเป็นหลวงจีน ที่แท้ก็สมองไม่ปกติ…น่าเสียดาย หน้าตาหล่อๆ แบบนี้เสียเปล่า ต้องขึ้นสวรรค์ถึงจะมีความยุติธรรมจริงๆ’
เซี่ยเหมิ่งคิดในใจเช่นกันว่า ‘คนโง่แบบนี้ มีโอกาสสูงที่จะไม่รู้ว่าหลินจื้อเฉิงไปไหน จะมาเสียเวลากับเขาไม่ได้ ต้องรีบไปหาต่อ ถ้าไม่ไหวจริงๆ คงได้แต่ลงเขาไปแจ้งความแล้ว…’
หลินเหล่ยยิ้ม คิดในใจว่า ‘โง่จริงๆ!’ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตรงไปตรงมาดี ผมชอบคนตรงไปตรงมา จะใช้วิธีไหน? ท่านว่ามาเลย!”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ประสกแก้มัดเขาวางไว้บนพื้น ที่เหลืออาตมาจัดการเอง”
“แก้เชือก? ถ้ามันหนีจะทำยังไง?” หลินเหล่ยไม่วางใจ
“ประสกผูกเชือกไว้ที่ตัวเขาได้” ฟางเจิ้งพูด
หลินเหล่ยพยักหน้าทำตาม เซี่ยเหมิ่งกับหลินอิ๋งมองอยู่ ไม่ได้ห้าม
หลินจื้อเฉิงถูกหลินเหล่ยวางลงบนพื้น เขาที่หนีตายมาเมื่อครู่ได้ยินคำสนทนาระหว่างฟางเจิ้งกับหลินเหล่ยชัดเจน เขารู้ดีว่าถ้าทำเสียเรื่องตอนนี้ หลวงจีนจะเสียหน้าที่สุด แต่เขาจะเสียชีวิต! เขาไม่อยากตาย ดังนั้นหลินจื้อเฉิงเลยวิ่งไปอยู่หน้าฟางเจิ้ง คุกเข่าลงโคกหัวไม่หยุด ร้องไห้โฮ พูดอ้อนวอนว่า “ไต้ซือ ผมผิดไปแล้ว ขอร้องล่ะ เปลี่ยนผมกลับทีเถอะ”
เห็นดังนั้นหลินเหล่ย เซี่ยเหมิ่งและหลินอิ๋งตะลึงงัน นี่มันไก่หรือวะ? คุกเข่าโขกหัวได้ด้วย! แถมยังร้องไห้! ร้องไห้โฮเสียงดัง! นี่มันมีสติปัญญารึเปล่า?
ฟางเจิ้งไม่สนใจสายตาตื่นตะลึงของพวกเขา แต่พูดยิ้มๆ “ลุกขึ้นเถอะ จะต้องลงหม้อนั้นไหมต้องดูที่ตัวเอง ประสกเต้นรำอะไรได้ก็รีบเต้นเถอะ เวลามีไม่มากแล้ว”
หลินจื้อเฉิงร้องขึ้น “ไต้ซือ ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆ จากนี้ไปผมจะไม่เข้าป่าล่าสัตว์อีก จะไม่จ้างคนมาลักลอบล่าสัตว์อีก! ขอร้องล่ะครับ ปล่อยผมไปเถอะ!”
“หลวงพี่ ดูท่าไก่นี่น่าจะเต้นไม่ได้ ท่านยอมแพ้เถอะ” ตอนนี้เองหลินเหล่ยถามเย้ยเยาะนิดๆ
“แกหุบปากไปเลย!” หลินจื้อเฉิงหันกลับไปตะคอก แต่ก็พบว่าเขาไม่ใช่หลินจื้อเฉิงคนเดิมแล้ว จะมีสิทธิ์อะไรไปเอ็ดตะโรใส่หลินเหล่ย?
“ลูกไก่นี่กล้าตะคอกใส่ฉัน? อีกเดี๋ยวฉันจะตุ๋นแก!” หลินเหล่ยถลึงตามองมาทีหนึ่ง
หลินจื้อเฉิงเกิดความหนาวเหน็บในใจ ก่อนมองฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ประสก รีบเต้นเถอะ”
หลินจื้อเฉิงจนปัญญาแล้ว เขากัดฟันส่ายก้น ก้าวขาสั้นๆ ร่างกายอวบอ้วนส่ายไปมา แม้ท่าทางจะไม่เข้าที่นัก แต่มีความรู้สึกของจังหวะที่แน่นอน และยังเหมือนจะใช้ได้!
พอเห็นนกฮาเซลกรูทส่ายก้น ก้าวเท้ายาวเริ่มเต้น หลินเหล่ย หลินอิ๋งและเซี่ยเหมิ่งตะลึงค้างพร้อมกัน! เบิกตาโต หน้าตาดูเหลือเชื่อ! ทุกอย่างประหลาดเกินไป! แววตาทั้งสามคนที่มองฟางเจิ้งเหมือนกับมองสัตว์ประหลาด! เขาบอกว่าเต้น นกฮาเซลกรูทก็เต้น เจ้านี่ยังเป็นคนอยู่ไหม? แต่มีส่วนหนึ่งที่พวกเขามั่นใจได้คือเจ้านี่ไม่โง่ พวกเขาต่างหากที่โง่จริงๆ!
ฟางเจิ้งมองหลินเหล่ยพลางยิ้ม “ประสก อาตมาน่าจะชนะแล้ว”
“นี่…” หลินเหล่ยไม่อยากเสียนกฮาเซลกรูทไปอย่างยิ่ง แต่ท่าทีฟางเจิ้งแปลกเกินไป เขาเลยไม่กล้าเสแสร้งต่อไปแล้ว
เซี่ยเหมิ่งพลันพูดขึ้น “หลวงพี่ออกอุบายเก่ง ครั้งนี้พวกเราแพ้แล้ว พวกเราจะปล่อยไก่นี่ แต่ขอร้องหลวงพี่บอกผมทีว่าเถ้าแก่หลินจื้อเฉิงของผมอยู่ไหน…” พูดจบ เซี่ยเหมิ่งโค้งตัวแสดงความเคารพ ตอนนี้เขายอมจริงๆ แล้ว ตนรู้ว่าเจอกับยอดฝีมือนอกโลกแล้ว
หลินเหล่ยรีบโยนเชือกที่ถือในมือทิ้งไป ไม่จำกัดอิสรภาพของนกฮาเซลกรูทอีก
แต่สิ่งที่เขาตกใจคือนกฮาเซลกรูทไม่หนี แต่มาที่หน้าฟางเจิ้งอีกครั้ง คุกเข่าลงเอาหัวโขกพื้น ร้องไม่หยุด
คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่ฟางเจิ้งเข้าใจ หลินจื้อเฉิงพูดเสียงดังว่า “ไต้ซือ ขอร้องล่ะ ให้อภัยผมเถอะ ขอแค่เปลี่ยนผมกลับเป็นคน พอผมกลับไปแล้วจะไม่ลักลอบล่าสัตว์หายากกับพืชหายากอีก ผมจะบริจาคเงินที่เมื่อก่อนได้มาจากความไม่ชอบธรรมทั้งหมด! ขอร้องล่ะครับ ให้อภัยผมเถอะ…” หลินจื้อเฉิงรู้แน่ชัดว่าไก่โง่อย่างเขาหนีจากหม้อของหลินเหล่ยได้ แต่หนีไม่รอดปากของเสือหรือหมาป่า! ถ้าจะออกจากที่นี่จริงๆ คงมีชีวิตไม่ถึงเย็นวันนี้!
ฟางเจิ้งกลับไม่มองหลินจื้อเฉิง แต่แสดงความเคารพตอบเซี่ยเหมิ่ง “ประสก คนที่ประสกตามหาอยู่ใกล้ๆ นี้ จะหาเขาเจอหรือไม่ไม่อยู่ที่ประสก ไม่อยู่ที่อาตมา แต่อยู่ที่เขา ถ้าเขาอยากปรากฏตัวย่อมปรากฏตัว ถ้ายังไม่เข้าใจ เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก”
“ไต้ซือ ถ้าพวกเราหาไม่เจอก็ว่าจะแจ้งความ ถึงตอนนั้นขอเชิญท่านให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วย” เซี่ยเหมิ่งรู้ว่าหลวงจีนนี่เล่นหนักจนรับมือไม่ไหวแน่ๆ เลยได้แต่ยืมกำลังตำรวจมากดขี่
ฟางเจิ้งยิ้ม “แน่นอน แต่ว่านักบวชไม่โกหก ตำรวจถามอะไร อาตมาจะไม่ปิดบัง”
สิ้นเสียง เซี่ยเหมิ่ง หลินอิ๋งและหลินเหล่ยต่างตกใจสะดุ้ง ไม่ปิดบังอะไรเลย? ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าจะพูดเรื่องที่พวกเขาลักลอบล่าสัตว์ด้วย! หลวงจีนนี่กำลังข่มขู่พวกเขา!
เซี่ยเหมิ่งคับแค้นใจกว่าเดิม หนึ่งเค่อก่อนหน้าเพิ่งจะข่มขู่หลวงจีน หนึ่งเค่อต่อมาถูกข่มขู่! ที่สำคัญคือแก้คำขู่นี้ไม่ได้ด้วย!
“ทุกท่าน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว อาตมาขอตัวก่อน” ว่าจบฟางเจิ้งก็หมุนจากไป
ถึงหลินเหล่ย หลินอิ๋งและเซี่ยเหมิ่งจะไม่ยอมอยู่นิดๆ แต่กลับไม่ได้ตามไป
ส่วนหลินจื้อเฉิงตามไปทันที เขารู้ว่าคนที่ช่วยเขาได้เพียงหนึ่งเดียวตอนนี้คือหลวงจีนรูปนี้! ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมทิ้งห่าง
ฟางเจิ้งเดินไปไกลจนมั่นใจแล้วว่าพวกหลินเหล่ยไม่ได้ยินคำพูดตนแล้วถึงเอ่ยเนิบๆ “ประสก อย่าถามอาตมาอีก”
“ไต้ซือ บนโลกนี้นอกจากท่านแล้วยังมีใครช่วยผมได้อีก? ผมแค่อยากกลับเป็นคน ไม่อยากเป็นไก่” หลินจื้อเฉิงอ้อนวอน
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ผิดแล้ว อาตมาช่วยประสกไม่ได้ คนที่ช่วยได้มีเพียงตัวประสกเอง คนกระทำ สวรรค์กำลังมอง ประสกกับอาตมาพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กรรมเป็นวงเวียน ทำความชั่วย่อมต้องรับผลกรรม ไม่มีใครหนีพ้น ตอนเป็นคน ประสกทำความชั่วไม่เคยถูกลงโทษ ถึงได้มีการลงโทษเป็นไก่ในวันนี้”
หลินจื้อเฉิงกล่าว “ไต้ซือ ผมบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดก็ยังไม่พอเหรอ?”
ฟางเจิ้งหันไปมองหลินจื้อเฉิง “อาตมาเป็นเพียงนักบวช ประสกทำอย่างไรถึงชดใช้กรรมได้นั้นนั่นเป็นเรื่องของประสก ไม่ใช่เรื่องของอาตมา เอาล่ะ ประสก นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ประสกควรจะหารังซ่อนตัวเสีย ถ้าตามอาตมาอีก คงผ่านคืนนี้ไปไม่ได้”
หลินจื้อเฉิงได้ยินว่าให้หารังซ่อนตัวก็ร้องเป็นบ้าในใจ เถ้าแก่ใหญ่อย่างเขาต้องหารัง? หารัง? เขาอยากจะเอาหัวโขกให้ตายเลยจริงๆ
เห็นฟางเจิ้งไม่ช่วย หลินจื้อเลยได้อยากหาที่ซ่อนตัว ข้างนอกภูเขาไม่ได้แน่ๆ ออกไปมีโอกาสสูงที่จะถูกกิน ถ้าอย่างนั้นก็วิ่งไปข้างใน!
ตอนนี้เองเด็กแดงไล่ตามมา พูดขึ้นว่า “อาจารย์ ในภูเขามีหมาป่าเยอะมากเลย จิ๊ๆ เมื่อครู่หมูป่าหลายตัวถูกโจมตีด้วย”