The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 366 ลงเขา
แต่ว่า…
หมาป่าเดียวดายไม่มีมือ ใช้กรงเล็บไม่สะดวก จะใช้ปากทุกคนก็ต่างรังเกียจความสกปรก ปกติจะทำหน้าที่คาบตะกร้า วันนี้มันไม่ต้องคาบตะกร้าแล้ว กลายเป็นว่าไม่มีอะไรทำแทน ได้แต่วิ่งไปมารอบๆ เสาะหาเห็ด ก่อนจะให้ลิงหรือเด็กแดงไปเก็บ แน่นอนว่าตอนที่เจอดอกเล็ก กระรอกจะช่วยได้ ถ้าเจอดอกใหญ่…
ดังนั้นแล้ว…
“อาจารย์ แปลกมาก ข้างหลังเรามีเห็ดที่ไม่ได้โตในดินเยอะเลย แต่ละดอกสวยขึ้นเรื่อยๆ…” หมาป่าเดียวดายพลันยื่นหัวเข้ามาใกล้
ฟางเจิ้งหน้าแดง จะบอกว่าเขาโยนทิ้งไปก็ไม่ได้มั้ง? แต่เก็บกลับมาใครจะกิน? เขาไม่อยากสิ้นเปลืองพลังของลูกประคำหนึ่งเม็ดแล้ว!
ขณะนี้เอง เด็กแดงพูดขึ้นว่า “หลวงพี่จิ้งฝ่า เห็ดพวกนั้นไม่อร่อย ข้าไม่ชอบกิน กินเยอะจะแพ้เอาได้ อาจารย์รู้ตรงนี้เลยได้แต่โยนทิ้งไป”
พอได้ยินว่าโยนทิ้ง กระรอกพลันวิ่งมาดึงขากางเกงฟางเจิ้ง ปีนขึ้นมาอยู่ในตะกร้า เอาหัวมุดเข้าไปในกองเห็ด ม้วนตัวอยู่นานถึงโผล่หัวเล็กๆ ออกมาจากในกองเห็ด และร้องโอดครวญว่า “ทิ้งเห็ดยักษ์สุดยอดของฉันไปแล้วด้วย! อาจารย์ พวกท่านไม่กิน ให้ฉันกินเองไม่ได้เหรอ?”
เจ้าลิงวิ่งเข้ามา เห็นว่าเห็ดที่มันเก็บมาหลายดอกหายไปแล้วเช่นกัน จึงพูดตาม “เห็ดสวยๆ ของฉันก็หายไปแล้ว อาจารย์ ท่านไม่กินเห็ดฉันก็เก็บไว้ให้ฉันกินสิ”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ฟางเจิ้งสำนึกเสียใจที่เก็บเห็ดต่อจริงๆ นี่เรียกว่าหาเรื่องโดยใช่เหตุรึเปล่า! ขณะเดียวกันยังด่าพวกเด็กแดงในใจยกใหญ่ หมาป่าเดียวดาย กระรอก และลิงสามตัวนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง ต่อให้หมาป่าเดียวดายเข้าใจแล้วมันจะพูดอะไรได้ กระรอกกับลิงฟังไม่เข้าใจ จึงถูๆ ไถๆ ตามน้ำไป…
ผลคือเด็กแดงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กระรอกกับลิงฟังคำพูดเขาเข้าใจ! นี่เรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนไหม? ในเมื่อเด็กแดงเป็นคนก่อเรื่องยุ่ง ฟางเจิ้งเลยปลดภาระอย่างรู้กาลเทศะไปเลย วางตะกร้าลงแล้วพูดขึ้น “จิ้งซิน นายจัดการเรื่องตรงนี้ด้วย พวกนายอยากกินอะไรก็เก็บกันเอาเอง อาจารย์นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อนละ”
พูดจบ ฟางเจิ้งก้าวเท้ายาวหนึ่งเมตรยี่สิบ รีบหายวับไป…
ลิงกับกระรอกผู้ใสซื่อพลันย้ายห่ากระสุนไปทางเด็กแดง เด็กแดงตาค้าง เมื่อครู่ยังซาบซึ้งบุญคุณต่อฟางเจิ้งอยู่เลย ทำไมพริบตาเดียวถึงถูกขายเสียได้ อาจารย์เห็นแก่ตัวคนนี้ ขายลูกศิษย์ได้อย่างหน้าด้านเกินไปแล้วมั้ง?
ตกเย็น ฟางเจิ้งมองเห็ดหลากสีในตะกร้ากับเด็กแดงพลางถอนหายใจ
กระรอกกับลิงกลัวว่าเห็ดของตนจะถูกทิ้งไปอีก จึงนั่งยองอยู่ในครัวไม่ออกไปไหน!
ด้วยความจำใจ ฟางเจิ้งได้แต่เลยต้มซุปเห็ดสองหม้อ หม้อหนึ่งเห็ดธรรมดา อีกหม้อต้มน้ำเดือด เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นก็ใช้ความฝันยามต้มข้าวฟ่างสร้างภาพมายาให้กระรอกกับลิงคิดว่ากำลังตุ๋นเห็ดของพวกมันอยู่ ทว่าตอนกินกลับไม่มีรสชาติ จึงร้องโวยว่าเห็ดบ้านี่ดูดี แต่กลับกินยากจะตายชัก จากนี้จะไม่กินอีกแล้ว
หมาป่าเดียวดายไม่สนใจพวกมัน เอาแต่กินซุปในชามจนหัวแทบจะทิ่มลงในชาม กินอย่างมีความสุข
กระรอกกับลิงเห็นแบบนั้นก็รีบลองชิมซุปเห็ดที่แท้จริงสักคำ จากนั้นยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น กินซุปอย่างบ้าคลั่ง น่าเสียดายว่ากระรอกตัวใหญ่แค่นั้น พยายามกินก็กินไปได้เพียงสองช้อนก่อนนอนบนโต๊ะ กุมท้องใหญ่ไม่ยอมขยับ…ปากยังงึมงำว่า “อร่อยจัง…”
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงเห็นแบบนั้นก็ยิ้มให้กัน ไม่ได้พูดอะไร แค่แอบสุขใจ
วันเวลาผ่านไปทีละวัน ใกล้จะผ่านเดือนห้าไปแล้ว
วันนี้หมาป่าเดียวดายวิ่งเข้ามา หย่อนก้นนั่งลงตรงหน้าฟางเจิ้ง จ้องมองเขาแบบไม่ขยับเขยื้อน
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว “จิ้งฝ่า นายทำอะไร?”
“อาจารย์ ศิษย์ไม่ได้ลงเขามานานมากแล้ว” หมาป่าเดียวดายตอบ
ฟางเจิ้งงุนงง ก่อนจะเข้าใจความหมายของหมาป่าเดียวดาย ตามกฎของวัดเอกดรรชนี ทุกครั้งที่ฟางเจิ้งลงเขาจะพาตัวหนึ่งไปด้วย อีกทั้งจะเวียนกัน ช่วงวันก่อนฟางเจิ้งไปมาทั่ว มีเรื่องเช่นหมู่บ้านไต้หลี่ฝนตกกับรับมือพวกลักลอบล่าสัตว์ ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยนิดๆ จึงคิดจะพักผ่อนบนเขาอย่างสงบสักระยะ
ผลคือผ่านมานานขนาดนี้แล้ว นั่งอ่านวัชรสูตรในอุโบสถอีกกลับเกิดการตระหนักรู้ใหม่ การตระหนักรู้ครั้งนี้กินเวลาหลายวัน ทำให้แทบจะลืมเรื่องนี้ไป
หมาป่าเดียวดายมาหาครั้งนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าอยากลงเขา
หมาป่าเดียวดายไม่พูดก็แล้วไป พอพูดขึ้นมา ฟางเจิ้งจึงขบคิดเงียบๆ คิดว่าควรจะลงเขาไปบ้าง ยิ่งประสบการณ์มากเท่าไรก็ยิ่งตระหนักรู้มากขึ้นเท่านั้น บุญกุศลยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งสำเร็จอรหันต์เร็วเท่านั้น และจะได้สึกเร็วๆ! อีกทั้งการตระหนักครั้งก่อนก็ตระหนักได้พอประมาณแล้ว ควรจะออกไปเติมไฟบ้าง
คิดถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งยิ้มบอก “ควรลงเขาจริงๆ จิ้งฝ่า ครั้งนี้นายตามอาจารย์ลงเขาไปดีไหม?”
หมาป่าเดียวดายวิ่งมาโอดครวญ ไม่หวังว่าฟางเจิ้งจะตอบตกลงเรื่องให้มันลงเขาจริงๆ แต่ไม่นึกเลยว่าจะทำสำเร็จ มันอึ้งงันไปก่อน จากนั้นรีบตอบ “ดีๆๆ…อาจารย์ ท่านว่าอะไรก็ตามนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น นายอยู่บนเขาแล้วกัน ให้จิ้งเจินไปกับอาจารย์เถอะ” ฟางเจิ้งยิ้มตาหยี
หมาป่าเดียวดายได้ยินเข้าก็รีบโวยวาย “อาจารย์ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะ…ฮือๆ…”
ฟางเจิ้งเห็นแล้วหัวเราะทันที เคาะหัวหมาป่าเดียวดายไปทีหนึ่ง “เอาล่ะ อย่าแสร้งร้อง ฟ้าผ่าเสียงดังขนาดนั้นไม่เห็นนายจะเสียน้ำตาสักหยด ไปเถอะ เราออกไปกัน”
หมาป่าเดียวดายได้ยินแบบนั้นก็รีบตามฟางเจิ้งไป ระหว่างทาง มันเดินไปพลาง เห็นใครก็ตะโกนเรียกไปพลาง “ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะตามอาจารย์ไปข้างนอกแล้ว”
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตามองค้อน…
เมื่อเข้าประตูไร้ลักษณ์อีกครั้ง ถึงอย่างไรก็เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่แล้ว จึงรอการเปลี่ยนแปลงรอบๆ อย่างใจจดจ่อ จะไม่พลาดเสียงและภาพใดๆ เลย
ตอนนี้เอง เกิดเสียงดังขึ้นรอบๆ
ตึงๆๆ…
ราวกับว่ามีบางสิ่งตกลงบนพื้นส่งเสียงดังโครม ขณะเดียวกันมีภาพแตกร้าวตรงหน้าปรากฏ นั่นคือล้อรถ และยังมีเสียงดังสนั่นกับเสียงร้องโหยหวนดังมา
‘ไม่ใช่มั้ง ครั้งนี้เกินไปแล้ว ไม่มีแม้แต่เสียงคุยกันเลย?’ ฟางเจิ้งร้องโอดครวญในใจ แต่ก็จนปัญญา เงามืดตรงหน้าถอยไป เขาพบว่าตอนนี้ตัวเองมาอยู่ตรงประตูใหญ่ของเขตเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เหมือนกับที่ผ่านๆ มา ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น นี่คือเขตชุมชนเล็กๆ ธรรมดาแห่งหนึ่ง แบบกำแพงบ้านเรือนดูเก่าเล็กน้อย ดูไปแล้วเป็นบ้านเก่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในตอนนั้นยังไม่นิยมตึกสูงหรือคอนโด ทั้งหมดมีเจ็ดชั้นเหมือนกัน ปากทางเข้าเขตชุมชนเล็กไม่มีการเฝ้าระวัง มีเพียงประตูใหญ่ธรรมดา ใครก็เข้าไปได้ตามอำเภอใจ
“ว้าว! อาจารย์ มหัศจรรย์มาก! จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!” หมาป่าเดียวดายไม่รู้ว่าฟางเจิ้งยังมีภารกิจ มันเบิกตาโตมองไปรอบๆ เห็นอะไรก็อยากรู้อยากเห็น ในด้านความรู้มันยังสู้เด็กแดงไม่ได้ ดีเลวอย่างไรเด็กแดงก็เคยเหาะไปมาทั่วแล้ว และแค่ตกใจมากที่คนธรรมดามีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มากถึงขนาดนี้